:

1. การทรงสร้าง

Frame 1-1

พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาลและสิ่งสารพัดภายในหกวัน หลังจากพระองค์ได้สร้างโลกขึ้นมานั้น โลกก็ยังมืดและว่างเปล่าอยู่ แต่พระวิญญาณของพระเจ้าได้อยู่เหนือน้ำนั้น

Frame 1-2

พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” และความสว่างก็เกิดขึ้น ทรงเห็นว่าดีและเรียกว่า “วัน” ทรงแยกความสว่างออกจากความมืดและเรียกว่า “คืน” พระเจ้าได้ทรงสร้างความสว่างในวันแรกของการทรงสร้าง

Frame 1-3

การทรงสร้างในวันที่สอง พระเจ้าได้สร้างให้ท้องฟ้าอยู่เหนือผืนน้ำโดยพระวาทะของพระองค์

Frame 1-4

ในวันที่สามพระเจ้าตรัสว่าผืนน้ำแยกออกจากพื้นที่แห้งโดยพระวาทะของพระองค์ และเรียกว่า แผ่นดินแห้งว่า“แผ่นดิน” และเรียกน้ำว่า “ทะเล”พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

Frame 1-5

แล้วพระเจ้าตรัสอีกว่า “ให้แผ่นดินเกิดพืชพันธุ์ต้นไม้นานาชนิด” และมันก็เกิดขึ้นตามนั้น และพระเจ้าเห็นว่าดี และพระองค์ทรงพอพระทัยกับทุกสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

Frame 1-6

การทรงสร้างในวันที่สี่ พระเจ้าตรัสว่าให้เกิดดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว ส่วนดวงอาทิตย์ให้ครองวัน ดวงจันทร์ให้ครองคืนเพื่อกำหนดฤดูกาลและปีต่างๆ พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

Frame 1-7

ในวันที่ห้าพระเจ้าได้ตรัสให้เกิดสัตว์ทุกอย่างที่แหวกว่ายในน้ำและนกที่บินในอากาศพระเจ้าทรงเห็นว่าดีและอวยพร

Frame 1-8

ในวันที่หกพระเจ้าตรัสว่า “ให้มีสัตว์บก สัตว์ใช้แรงงาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ที่อยู่ในป่าเกิดขึ้น”และมันก็เกิดขึ้นตามนั้น พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

Frame 1-9

แล้วพระเจ้าก็ทรงตรัสว่า "เราจะสร้างมนุษย์ที่ตามฉายาตามอย่างของเรา พวกมนุษย์จะมีอำนาจเหนือโลกและสัตว์ทั้งหลาย" ดังนั้นพระเจ้าตรัสว่า “เราสร้างมนุษย์ตามแบบลักษณะของเรากัน ให้พวกเขาทั้งหลายครอบครองแผ่นดินและสัตว์ทุกชนิด”

Frame 1-10

ดังนั้นพระเจ้าได้ปั้นมนุษย์ชายขึ้นมาจากโคลนตม และระบายลมหายใจสู่ชายผู้นั้น เขาจึงมีชีวิต ผู้ชายนั้นชื่อว่าอดัม แล้วพระเจ้าได้สร้างสวนแห่งหนึ่งให้เขาอาศัยอยู่และดูแลสวนนั้น

Frame 1-11

ในกลางสวนนั้นมีต้นไม้สองต้น คือต้นไม้แห่งชีวิตและต้นไม้รู้ดีและรู้ชั่ว แล้วพระเจ้าตรัสกับอดัมว่า “เจ้าสามารถกินผลไม้จากต้นไม้ทุกชนิดได้ยกเว้นจากต้นรู้ดีรู้ชั่ว ถ้ากินผลไม้นั้นเจ้าจะตาย”

Frame 1-12

พระเจ้าตรัสว่า”ไม่เป็นการดีเลยที่ผู้ชายคนนี้จะอยู่คนเดียว”และไม่มีสัตว์ตัวไหนที่เหมาะที่จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกับเขา

Frame 1-13

ดังนั้นพระเจ้าทรงให้อดัมนอนหลับสนิทและได้ทรงชักกระดูกซี่โครงของเขาออกมาสร้างเป็นผู้หญิงคนหนึ่งและมอบให้กับเขา

Frame 1-14

เมื่ออดัมเห็นเธอ เขาพูดว่า “ในที่สุด ก็มีคนเหมือนฉันแล้ว”และเขาจึงเรียกเธอว่า ผู้หญิง เหตุฉะนั้นผู้ชายจึงต้องจากพ่อแม่ของเขาเพื่อไปผูกพันกับภรรยาของเขา

Frame 1-15

พระเจ้าได้สร้างผู้ชายและผู้หญิงตามพระลักษณะของพระองค์พระเจ้าจึงอวยพรคนทั้งคู่และตรัสว่า “จงขยายพงศ์พันธุ์ทั่วแผ่นดินโลก” และพระเจ้าเห็นทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างว่าดีและพระองค์ทรงพอใจในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาก และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในการสร้างโลกวันที่ 6 ของพระเจ้า

Frame 1-16

ในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงได้พักผ่อนจากการเสร็จการงานทุกอย่างและพระองค์ได้ทรงอวยพรวันทีเจ็ดและทรงตั้งให้เป็นบริสุทธิ์ สิ่งนี้คือการทรงสร้างจักรวาลและสิ่งสารพัดทั้งปวง

เรื่องราวจากพระคัมภีร์: ปฐมกาล 1-2

2. ความบาปเข้ามาในโลก

Frame 2-1

อาดัมและภรรยาอยู่อย่างมีความสุขในสวนที่สวยงามที่พระเจ้าทรงสร้าง ทั้งสองคนก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกระอาย เพราะว่าในเวลานั้นไม่มีความบาปบนโลกใบนี้ บ่อยครั้งพวกเขาทั้งสองเดินในสวนนั้นและก็คุยกับพระเจ้า

Frame 2-2

แต่ว่ามีงูเจ้าตัวหนึ่งที่เข้าในสวนนั้น มันถามภรรยาของอาดัมว่า “พระเจ้าได้บอกเธอจริงๆหรือว่าต้องไม่กินผลไม้ใดๆในสวน”

Frame 2-3

หญิงนั้นตอบว่า “พระเจ้าบอกให้เราสามารถกินผลไม้จากต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ยกเว้นแต่ผลไม้จากต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว พระเจ้าบอกพวกเราว่า ‘ถ้าหากพวกเจ้ากินหรือเพียงแค่สัมผัสผลไม้นั้น พวกเจ้าจะต้องตาย’”

Frame 2-4

งูตัวนั้นบอกกลับไปว่า “นั้นไม่ใช่ความจริงนะ!ที่เธอจะต้องตาย พระเจ้าทรงทราบว่าเมื่อใดที่เธอกินผลไม้นั้น เธอจะเป็นเหมือนพระองค์ และจะมีความเข้าใจเหมือนพระองค์คือรู้ดีรู้ชั่ว”

Frame 2-5

หญิงนั้นเห็นว่าผลไม้นั้นมีความงดงามและดูน่าอร่อยดี และเธอก็อยากจะเป็นผู้มีปัญญา เธอจึงเด็ดผลไม้มากินซะ และให้สามีของเธอผู้ที่อยู่กับเธอได้กินอีกด้วย และเขาก็กินผลไม้นั้นด้วย

Frame 2-6

ทันใดนั้นเขาทั้งสองก็ตาสว่างขึ้น และรู้ตัวว่า ตนเองเปลือยกายอยู่ แล้วพวกเขาพยายายามปกปิดร่างกายที่เปลือยด้วยใบไม้ที่นำมาเย็บต่อกันเพื่อเป็นเครื่องนุ่งห่มร่างกาย

Frame 2-7

เมื่อชายหญิงคู่นั้นได้ยินเสียงพระเจ้ากำลังเดินผ่านมาในสวน พวกเขาก็หลบซ้อนพระเจ้า หลังจากนั้นพระเจ้าทรงเรียกหาชายนั้น “เจ้าอยู่ที่ไหน” อาดัมตอบกลับว่า “ข้าพระองค์ได้ยินพระองค์กำลังเดินอยู่ในสวน ก็เกิดความกลัวเพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ ดังนั้นข้าพระองค์จึงหลบซ่อนพระองค์”

Frame 2-8

แล้วพระเจ้าตรัสถามว่า “ใครบอกเจ้าว่าเปลือยกายอยู่ เจ้าได้กินผลไม้ที่เราได้ห้ามไว้งั้นหรือ” ชายนั้นตอบว่า “พระองค์ทรงประทานหญิงผู้นี้ให้แก่ข้าพระองค์ และนางซึ่งเป็นผู้ให้ผลไม้นั้นต่อข้าพระองค์” และพระเจ้าตรัสถามหญิงนั้นว่า “เธอทำอะไรลงไป” นางตอบว่า “งูตัวนั้นล่อลวงให้ข้าพระองค์กิน”

Frame 2-9

พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า “เจ้าถูกสาปแช่ง เจ้าจะเลื้อยไปด้วยท้อง และกินดิน เจ้าและหญิงนั้นจะรังเกียจซึ่งกันและกัน และลูกหลานของเจ้ากับของนางจะรังเกียจซึ่งกันและกันด้วย และทายาทของนางจะบดขยี้ศีรษะของเจ้าให้แหลกลาญ และเจ้าจะฉกส้นเท้าของเขา”

Frame 2-10

และพระเจ้าตรัสแก่หญิงนั้นว่า “เราจะให้เจ้าเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อเจ้าคลอดบุตร เจ้าจะปรารถนาสามี และเขาจะปกครองเหนือเจ้า”

Frame 2-11

พระเจ้าตรัสแก่ชายนั้น “เจ้าฟังภรรยาของเจ้า แต่ไม่เชื่อฟังเรา ขณะนี้แผ่นดินถูกสาปแช่ง และเจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดินด้วยความลำบากตรากตำ แล้วเจ้าจะตาย ร่างกายของเจ้าจะสลายเป็นดิน” ชายผู้นั้นได้ตั้งชื่อให้ภรรยาของเขาว่า “เอวา” ซึ่งหมายความว่า “ผู้ให้ชีวิต” เพราะว่านางจะเป็นมารดาของคนทั้งปวง หลังจากนั้นพระองค์ทรงสวมเครื่องนุ่งห่มทำจากหนังสัตว์ให้อาดัม และเอวา

Frame 2-12

แล้วพระองค์ตรัสว่า “บัดนี้ มนุษย์ได้กลายเป็นเหมือนเราแล้ว คือรู้ชอบชั่วดี เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องไม่รับอนุญาตให้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต แล้วมีชีวิตอยู่ตลอดไป” ดังนั้นพระองค์ขับไล่อาดัม และเอวาออกจากสวนอันสวยงาม พระองค์ทรงตั้งทูตสวรรค์อันมีฤทธิ์เดช ไว้ที่ทางเข้าของสวนนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสักคนเข้ามากินผลไม้แห่งชีวิตได้

เรื่องราวจากพระคัมภีร์: ปฐมกาล 3

3. น้ำท่วมโลก

Frame 3-1

หลายร้อยปีต่อมา มนุษย์มากมายที่ได้อาศัยบนโลกใบนี้มี พวกเขาล้วนแต่โหดร้ายและเลวทราม ดังนั้นพระเจ้าได้หมายที่จะกำจัดมนุษย์ทั้งปวงบนโลกนี้เสียด้วยการส่งน้ำท่วมใหญ่

Frame 3-2

แต่โนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า เขาเป็นชายแห่งความชอบธรรมซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์เลวทรามนั้น พระเจ้าได้ตรัสกับโนอาห์ถึงเรื่องน้ำท่วมที่พระเจ้าได้มีแผนการจะส่งเข้ามาในโลกนี้ ดังนั้นพระองค์จึงสั่งให้โนอาห์สร้างเรือใหญ่ลำหนึ่งขึ้นมา

Frame 3-3

พระเจ้าตรัสให้โนอาห์ให้สร้างเรือ กว้าง 23 เมตร ยาว 140 เมตร และสูง 13.5 เมตร ด้วยไม้และให้สร้างเป็นสามชั้น ภายในมีหลายห้องภายใต้หลังคาเดียวกัน และมีหน้าต่างหนึ่งบานด้วย โนอาห์ ครอบครัวของเขาและสัตว์บกทุกชนิดจะรอดจากภัยน้ำท่วมในเรือลำนี้

Frame 3-4

โนอาห์ก็เชื่อฟังพระเจ้า เขาและลูกชายทั้งสามคนนั้นได้สร้างเรือลำนั้นตามวิธีการที่พระเจ้าได้บอกให้ทำ การสร้างเรือนั้นใช้เวลานานหลายปีเพราะมันเป็นเรือลำใหญ่มาก โนอาห์ได้เตือนผู้คนถึงเรื่องภัยน้ำท่วมที่จะมาถึงและบอกพวกเขาให้กลับมาหาพระเจ้าแต่คนเหล่านั้นหาได้เชื่อโนอาห์ไม่

Frame 3-5

พระเจ้ายังได้สั่งโนอาห์และครอบครัวของเขาให้รวบรวมเสบียงอาหารสำหรับพวกเขาเองและสัตว์ต่างๆที่จะอยู่บนเรือนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วพระเจ้าได้ให้โนอาห์ ภรรยาของเขา ลูกชายทั้งสามของเขาและภรรยาของลูกชายทั้งสามของโนอาห์ รวมทั้งสิ้นเป็น แปดคน เข้าไปในเรือเพราะเวลานั้นมาถึงแล้ว

Frame 3-6

พระเจ้าได้ให้สัตว์บกและนกทุกชนิดทั้งตัวผู้และตัวเมีย แก่โนอาห์เพื่อให้พวกมันขึ้นเรือและให้รอดชีวิตจากภัยน้ำท่วมนั้น พระเจ้าได้ส่งสัตว์ทุกชนิดอย่างละเจ็ดคู่เป็นตัวผู้และตัวเมียเพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องเผาบูชา เมื่อทุกชีวิตอยู่บนเรือพร้อมสรรพ พระเจ้าพระองค์เองได้ปิดประตูนั้นเสีย

Frame 3-7

แล้วฝนได้เริ่มตกลงมา ตกแล้วตกอีกเป็นเวลานานถึง สี่สิบวันสี่สิบคืนโดยไม่มีการหยุดเลย น้ำได้พรั่งพรูมาเหนือแผ่นดินและทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้น้ำนั้นแม้กระทั่งภูเขาต่างๆที่สูงที่สุด

Frame 3-8

สิ่งมีชีวิตทั้งสิ้นที่อยู่บนแผ่นดินได้สิ้นชีวิตลง ยกเว้นบรรดาคนและสัตว์ที่อยู่ในเรือ เรือลำนั้นได้ล่องลอยไปตามน้ำและได้รักษาสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ภายในเรือนั้นจากการจมในน้ำอย่างปลอดภัย

Frame 3-9

หลังจากที่ฝนได้หยุดตกแล้ว เรือลำนั้นได้ลอยบนผิวน้ำเป็นเวลา 5 เดือนและระดับน้ำได้ลดลงเรื่อยๆ วันหนึ่งเรือได้ไปจอดอยู่บนยอดเขา แต่แผ่นดินยังคงอยู่ภายใต้น้ำนั้น สามเดือนต่อมายอดเขาต่างๆก็โผล่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

Frame 3-10

สี่สิบวันต่อมา โนอาห์ได้ปล่อยนกกาเหว่าออกไปเพื่อที่จะเสาะหาแผ่นดินแห้ง มันได้บินวนเวียนไปมาแต่กลับไม่พบอะไร

Frame 3-11

ต่อมาโนอาห์ ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่งออกไปเช่นกันแต่ก็หาไม่พบ ดังนั้นมันจึงบินกลับมาหาโนอาห์ หนึ่งสัปดาห์ต่อโนอาห์ปล่อยนกพิราบออกไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนกพิราบบินกลับมา มันคาบกิ่งใบมะกอกมาด้วยในปากของมัน โนอาห์จึงรู้ว่าน้ำลดลงจากแผ่นดินและต้นไม้ก็เจริญงอกงามอีกครั้งหนึ่ง

Frame 3-12

โนอาห์ได้รอคอยอีกหนึ่งอาทิตย์และได้ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่งออกไปเป็นครั้งที่สามและครั้งนี้มันได้หาที่เกาะและมันไม่กลับมาอีกเลยเนื่องจากน้ำแห้งแล้ว

Frame 3-13

สองเดือนต่อมาพระเจ้าได้มีรับสั่งให้โนอาห์ว่า “ให้เจ้าและครอบครัวของเจ้าและสัตว์ทุกตัวออกจากเรือลำนี้ได้แล้ว จงแพร่พงศ์พันธ์ให้เต็มแผ่นดินโลก”ดังนั้นโนอาห์และครอบครัวของเขาได้ออกมาจากเรือ

Frame 3-14

หลังจากที่โนอาห์ได้ออกมาจากเรือแล้ว เขาได้สร้างแท่นบูชาและนำสัตว์ทั้งเจ็ดคู่เป็นตัวผู้และตัวเมียที่ได้นำขึ้นเรือตามพระเจ้าได้เตรียมไว้เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องเผาบูชาซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าและพระเจ้าได้อวยพรโนอาห์และครอบครัวของเขา

Frame 3-15

พระเจ้าตรัสว่า”เราสัญญาว่าแผ่นดินจะไม่ได้รับการแช่งสาปอีกไม่ว่ามนุษย์จะทำในสิ่งที่ชั่วร้ายเพียงใดก็ตาม ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเกิดมาจากบาป ด้วยเหตุนั้นน้ำจะไม่ท่วมแผ่นดินโลกอีก”

Frame 3-16

พระเจ้าได้สร้างรุ้งกินน้ำตัวแรกเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งคำมั่นสัญญาของพระองค์ เมื่อใดก็ตามที่ท้องฟ้าเกิดรุ้งกินน้ำนั่นหมายถึงว่าพระเจ้าทรงระลึกคำมั่นสัญญาของพระองค์ที่มีให้กับคนของพระองค์

เรื่องราวจากพระคัมภีร์: ปฐมกาล 6 - 8

4. พันธสัญญาของพระเจ้ากับอับราฮัม

Frame 4-1

หลายปีหลังจากน้ำท่วม คนในตอนนั้นยังพูดภาษาเดียวกัน. พวกเขาพูดว่าให้เราสร้างหอสูงเพื่อที่จะไปสวรรค์ แล้วเขาจึงกันสร้างหอคอยนั้น.

Frame 4-2

พวกเขาภูมิใจมากและพวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องที่พระเจ้าได้ตรัสไว้. พวกเขาเริ่มสร้างหอคอยให้สูงถึงสวรรค์. แต่พระเจ้าเห็นว่าพวกเขากำลังทำความชั่วและเริ่มทำบาปมากขึ้น.

Frame 4-3

ดังนั้นพระเจ้าจึงเปลี่ยนภาษาพวกเขา ให้พูดแตกต่างกันไป. จากนั้นผู้คนก็แยกย้ายกันออกไปทั่วโลก. เมืองใหญ่ที่เขาสร้างขึ้นนั้นเรียกว่า บาเบล ซึ่งหมายถึง สับสน วุ่นวาย.

Frame 4-4

หลายร้อยปีผ่านไป พระเจ้าตรัสกับชายคนหนึ่งชื่อ อับราม ฺ พระเจ้าตรัสกับเขาว่าจงออกจากเมืองของเจ้า และครอบครัวไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงให้เจ้า. เราจะอวยพรเจ้า และจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะให้เจ้ามีชื่อเสียงทั่วโลก เราจะอวยพรเจ้า ผู้ที่อวยพรเจ้าและจะซาบแช่งผู้ที่ซาบแช่งเจ้า คนทั้งโลกจะได้รับพรเพราะเจ้า.

Frame 4-5

แล้วอับรามก็เชื่อฟังพระเจ้า เขาพาภรรยาของเขาชื่อ ซาราย กับคนใช้ของเขาไปด้วย . และทุกสิ่งที่เป็นของเขา ออกเดินทางไปยังดินแดนที่พระเจ้าสำแดงให้เขา เรียกว่า ดินแดน คานาอัน.

Frame 4-6

เมื่อ อับราม มาถึงเขตแดน คานาอัน พระเจ้าตรัสกับอับรามว่า มองไปรอบๆเจ้า ซิ. แผ่นดินทั้งหมดที่เจ้ามองเห็นนั้น เราจะยกให้เจ้าเป็นมรดกให้เจ้าและเชื้อสายของเจ้า. แล้วอับราม ก็นั่งลงในดินแดนนั้น.

Frame 4-7

วันหนึ่ง อับราม ได้พบกับ เมลคีเซเดค ผู้เป็นมหาปุโรหิต สูงสุดของพระเจ้า. แล้วเมลคีเซเดค อวยพร อับราม และกล่าวว่าขอพระเจ้าสูงสุดผู้ครองสวรรค์และโลกอวยพรเจ้า.

Frame 4-8

หลายปีผ่านไป แต่ อับราม และซาราย ก็ยังไม่มีบุตร. พระเจ้าตรัสกับอับรามและทรงปฎิญาณว่าเจ้าจะทรงมีบุตรชายแอละลูกหลานมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า. อับรามเชื่อคำสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า อับราม เป็นคนชอบธรรมเพราะ เขาเชื่อในพันธสัญญาของพระองค์.

Frame 4-9

ดังนั้นพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราม. พันธสัญญานั้นเป็นข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย. เราจะให้ลูกชายที่มาจากเจ้าเอง เราให้แผ่นดินคานาอัน แก่เชื้อสายของเจ้าแต่ อับรามก็ยังไม่มีบุตร.

5. ลูกแห่งพันธสัญญา

Frame 5-1

สิบปีหลังจากที่อับรามและซารายได้มาถึงเมืองคานาอันแล้ว พวกเขายังไม่มีลูก ดังนั้นซารายภรรยาของอับรามจึงบอกกับสามีว่า “ตั้งแต่พระเจ้ายังไม่อนุญาตให้ฉันมีลูก และตอนนี้ฉันก็แก่มากแล้วที่จะมีลูกได้ นี่คือฮาการ์สาวใช้ของชั้น แต่งงานกับเธอเพื่อที่เธอจะมีลูกให้กับฉันได้”

Frame 5-2

ฮับรามได้แต่งงานกับฮาการ์และหญิงนั้นได้คลอดลูกชายคนหนึ่งให้กับเขา อับรามตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า อิชมาเอล แต่ซารายอิจฉาฮาการ์ เมื่ออิชมาเอลอายุ 13 ปี พระเจ้าได้ตรัสกับอับรามอีกครั้งหนึ่ง

Frame 5-3

“เราคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด เราจะทำพันธสัญญากับเจ้า” พระเจ้าตรัสดังนี้ แล้วอับรามได้หมอบกราบลงบนพื้นดินเมื่อได้ยินเสียงของพระเจ้า “เจ้าจะเป็นบิดาแห่งบรรดาประชาชาติ เราจะทำให้เจ้าและลูกหลานของเจ้าได้ครอบครองแผ่นดินคานาอันเป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าชั่วนิจนิรันดร์” ดังนั้นชายทุกคนที่อยู่ในครัวเรือนของเจ้าต้องเข้าสุหนัต

Frame 5-4

“ภรรยาของเจ้า ซารายจะให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง เขาจะเป็นลูกแห่งคำมั่นสัญญา จงตั้งชื่อเขาว่า อิสอัค เราจะทำพันธสัญญากับเขา และเขาจะเป็นชนชาติใหญ่ชาติหนึ่ง เราจะทำให้อิชมาเอลเป็นบิดาแห่งชนชาติใหญ่อีกชาติหนึ่งเช่นกัน” แต่พันธสัญญาของเราจะอยู่กับอิสอัค แล้วพระเจ้าได้เปลี่ยนชื่อของอับรามเป็นอับราฮัมหมายถึงบิดาแห่งบรรดาประชาชาติและซารายได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นซาราห์หมายถึงเจ้าหญิง

Frame 5-5

ในวันนั้นอับราฮัมให้ชายทุกคนในครัวเรือนของเขาเข้าพิธีสุหนัต หนึ่งปีต่อมาเมื่ออับราฮัมอายุได้ 100 ปีและซาราห์อายุได้ 90 ปี นางได้คลอดลูกชายคนหนึ่งให้กับอับราฮัม และได้ตั้งชื่อเขาว่า อิสอัคตามที่พระเจ้าได้บอกเขา

Frame 5-6

เมื่ออิคอัคโตเป็นหนุ่ม พระเจ้าได้ทดสอบความเชื่อของอับราฮัมโดยตรัสว่า “จงนำ อิสอัคลูกชายเดียวของเจ้า และฆ่าเขาเสียเพื่อเป็นเครื่องถวายแก่เรา” อับราฮัมก็เชื่อฟังพระเจ้าและเตรียมลูกชายของเขาเพื่อถวายบูชา

Frame 5-7

เมื่ออับราฮัมและอิสอัคเดินทางไปยังสถานที่ถวายบูชานั้น อิสอัคจึงถามขึ้นมาว่า “พ่อครับ เรามีฟืนสำหรับเผาบูชาแล้ว แต่ลูกแกะละครับอยู่ที่ไหน” อับราฮัมจึงตอบว่า “พระเจ้าจะจัดเตรียมลูกแกะถวายบูชาเองลูก”

Frame 5-8

เมื่อมาถึงสถานที่ถวายบูชาอับราฮัมจึงมัดลูกชายนำไปวางไว้บนแท่นบูชาและชักมีดเพื่อที่จะฆ่า พระเจ้าจึงตรัสว่า “หยุดก่อน อย่าทำอันตรายเด็กคนนั้นเลย” ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงเราด้วยว่าเจ้าไม่ได้หวงลูกชายคนเดียวกับเรา

Frame 5-9

ที่ใกล้ๆนั้น อับราฮัมเห็นลูกแกะหนึ่งติดที่พุ่มไม้อยู่ พระเจ้าได้จัดเตรียมลูกแกะนั้นถวายบูชาแทนอิสอัค อับราฮัมถวายลูกแกะนั้นเป็นเครื่องบูชาอย่างปิติยินดี

Frame 5-10

แล้วพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “เพราะว่าเจ้าถวายทุกสิ่งแก่เรา ไม่เว้นแต่ลูกชายคนเดียวของเจ้า เราสัญญาว่าเราจะอวยพรเจ้า ลูกหลานของเจ้าจะมีมากมายกว่าดวงดาวในท้องฟ้า เพราะเจ้าเชื่อฟังเราเป็นเหตุให้ทุกคนในครอบครัวในโลกนี้จะได้รับพรผ่านทางครอบครัวของเจ้า”

เรื่องราวจากพระคัมภีร์ในพระธรรม ปฐมกาล 16-22

6. พระเจ้าจัดเตรียม อิสอัค

Frame 6-1

เมื่อ อับราฮัม มีอายุมากแล้ว ลูกชายได้เติบโตเป็นหนุ่ม. แล้วอับราฮัมได้ส่งผู้รับใช้คนหนึ่งกลับไปยังดินแดนญาติพี่น้องของเขา. เพื่อที่จะหาภรรยาให้กับ อิสอัค ลูกชายของเขา

Frame 6-2

หลังจากที่เดินทางเป็นระยะทางที่นานมาก พอไปถึงยังดินแดน ที่ญาติพี่น้องของอับราฮัม อาศัยอยู่.พระเจ้าได้นำคนใช้ของอับราฮัมไปพบกับ เรเบคาห์. เรเบคาห์ เป็นหลานสาวของ พี่ชาย อับราฮัม.

Frame 6-3

เรเบคาห์ ยอมออกจากครอบครัวเพื่อกลับไปกับคนรับใช้คนนั้น. ไปยังบ้านของ อิสอัค แล้ว อิสอัค ก็ได้แต่งงานกับเธอ หลังจากนั้นไม่นาน เรเบคาห์ ก็ตั้งครรภ์.

Frame 6-4

หลังจากนั้นไม่นาน อับราฮัม ก็ตายแล้วพันธสัญญาทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทำกับเขาและเชื้อสายของเขาผ่านทาง อิสอัค. พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัม ว่าจะให้มีทายาทมากมาย แต่ เรเบคาห์ ภรรยาของอิสอัค เป็นหมัน.

Frame 6-5

อิสอัค อธิฐาน เพือเรเบคาห์ แล้วพระเจ้าก็อนุญาติให้ เรเบคาห์ ตั้งครรภ์แฝด.แต่เด็ก 2 คนกำลังทะเลาะกันในท้องของเรเบคาร์ เรเบคาร์ ถามพระเจ้าว่ามันเกิดอะไรขึ้น.

Frame 6-6

พระเจ้าบอกกับเรเบคาร์ว่า 2 ชนชาติจะมาจากเด็ก 2 คนที่อยู่ในท้องของเจ้า. พวกเขาทั้งสองคนจะต่อสู้ซึ่งกันและกันส่วนพี่ชายจะเป็นคนรับใช้น้องชาย.

Frame 6-7

เมื่อถึงเวลาที่ เรเบคาร์คลอดลูกนั้น ลูกคนแรกที่เกิดผมเป็นสีแดงแล้วพวกเขาก็ตั้งชื่อว่า เอซาว. ส่วนน้องที่เกิดมาทีหลังจับส้นเท้าของเอซาวออกมา แล้วพวกเขาตั้งชื่อว่า ยาโคบ.

พระคัมภีร์ ปฐมกาล 24:1-25:26

7. พระเจ้าอวยพรยาโคบ

Frame 7-1

เมื่อเด็ก 2คนเติบโตขึ้น ยาโคบ ชอบอยู่บ้านแต่ เอซาว ชอบล่าสัตว์. เรเบคาร์ รับยาโคบ แต่ อิสอัค รักเอซาว.

Frame 7-2

วันหนึ่งเมื่อเอซาวกลับจากไปล่าสัตว์ เขาหิวมาก เอซาว พูกกับ ยาโคบว่า เอาอาหารมาใไห้เรากินด้วย. ยาโคบพูดว่าเอาสิทธิบุตรหัวปีมาให้เราก่อน เอซาวก็ยกสิทธิบุตรหัวปีให้ยาโคบ แล้ว ยาโคบ ก็ยกอาหารมาให้เขา.

Frame 7-3

อิสอัค ต้องการที่จะอวยพร เอซาว ลูกของเขา แต่ก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้น. เรเบคาร์ และยาโคบ ก็วางแผนโดยการอ้างว่าตัวเอง เป็น เอซาว. อิสอัค อายุแก่แล้วมองไม่เห็น ยาโคบก็เอาเสื้อข่นแพะของเอซาวใส่ที่คอ และที่มือ.

Frame 7-4

ยาโคบ เข้าไปหาอิสอัคแล้วพูดว่าผมคือ เอซาว ผมขอให้พ่ออวยพรให้ผมด้วย. เมื่ออิสอัค จับเสื้อคลุมที่เป็นข่นแพะ เขาคิดว่าเป็นเอซาว ก้เลยอวยพรยาโคบ.

Frame 7-5

เอซาว เกลียดยาโคบมาก เพราะยาโคบได้ขโมยสิทธิบุตรหัวปีและเขาก็ได้รับการอวยพรจากพ่อ. แล้วเอซาวก็วางแผรที่จะห่ายาโคบ หลังจากที่พ่อของเขาสิ้นชีวิต.

Frame 7-6

แต่ เรเบคาร์ได้ยินว่า เอซาววางแผนที่จะฆ่ายาโคบ. เรเบคาร์ ก็ส่งยาโคบไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องของเธอ.

Frame 7-7

ยาโคบ ก็อาศัยอยู่กับญาติพี่น้องหลายปีในช่วงเวลานั้นเขาได้แต่งงาน มีลูกชาย 12 คนและมีลูกสาว 1คน. พระเจ้าให้เขาเป็นคนมั่งคั่งที่สุด.

Frame 7-8

20 ปี ที่เขาออกจากบ้านของเขาในคานาอัน ยาโคบก้กลับไป. พร้อมกับครอบครัวและคนใช้กับฝูงสัตว์ทั้งหมด.

Frame 7-9

ยาโคบ กลัวมากเพราะเขาคิดว่าเอซาว จะต้องฆ่าเขาให้ตายแน่นอน. ดังนั้นเขาจึงส่งฝูงสัตว์เพื่อเป็นของขวัญให้เอซาว. คนใช้ที่นำสัตว์พูดกับเอซาวว่า ยาโคบ คนรับใช้ของท่านได้นำเอาฝูงสัตว์มามอบให้ท่าน. เขาจะมาพบกับท่านเร็วๆนี้.

Frame 7-10

แต่ เอซาว พร้อมที่จะอภัยให้กับ ยาโคบ และเขามีความสูขมากๆที่ได้พบได้เจอกันอีกครั้หนึ่ง ยาโคบ ก็อาศัยอยู่ใน คานาอัน อย่างมีความสูข. เมื่อ อิสอัค ตายยาโคบกับเอซาว ก็ฝังท่านไว้ที่นั้น. พันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับอับราฮัมและเชื้อสายของเขา ได้ผ่านจากอิสอัคถึงยาโคบ.

เรื่องจากพระคัมภีร์ พระธรรมปฐมกาล 25:27 - 33:20

8. พระเจ้าช่วยเหลือโยเซฟและครอบครัวให้รอด

Frame 8-1

หลังจากนั้นหลายปีเมื่อยาโคบชรามากแล้วเขาก็ส่งโยเซฟลูกชายที่เขาโปรดปราณไปดูพี่น้องของเขาที่เลี้ยงแกะอยู่.

Frame 8-2

พี่น้องของโยเซฟเกลียดเขามากเพราะโยเซฟเป็นที่รักของพ่อ. แล้วโยเซฟฝันว่าจะเป็นเจ้านายของเราเมื่อโยเซฟมาถึงยังพี่น้องของเขาเขาก็ลักเอาโยเซฟไปขายให้กับคนที่รับซื้อทาส.

Frame 8-3

ก่อนที่พี่น้องของโยเซฟจะกลับบ้าน เขาก็ฉีกเสื้อผ้าของโยเซฟเอาไปจุ่มที่เลือดแพะ.ดังนั้นจึงเอาเสื้อผ้าไปจุ่มเลือดให้พ่อของเขาดูเพื่อที่จะบอกให้พ่อว่าโยเซฟถูกสัตว์ฆ่าตายแล้วยาโคบก็เสียใจมาก.

Frame 8-4

คนที่รับซื้อทาสก็พาโยเซฟไปถึงเมืองอียิปต์. เมืองอียิปต์เป็นเมืองที่ใหญ่มีอำนาจมากและก็เป็นเมืองที่อยู่ไกล้กับแม่น้ำไน. คนซื้อทาสคนนั้นก็ขายโยเซฟให้กับข้าราชการในเมืองอียิปต์คนหนึ่ง. โยเซฟก็รับใช้เจ้านายของเขาอย่างดีแล้วพระเจ้าก็อวยพรโยเซฟ.

Frame 8-5

ภรรยาของเจ้านายโยเซฟพยายามที่จะนอนกับโยเซฟ.แต่โยเซฟปฎิเสธที่จะทำบาปต่อพระเจ้าอย่างนี้ภรรยาของเจ้านายโกรธมากกล่าวว่าโยเซฟจะข่มขื่นเขา.แล้วก็จับโยเซฟไปขังที่คุก. ในขณะที่โยเซฟอยู่ในคุกเขาเป็นคนที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าแล้วพระเจ้าก็อวยพรเขา.

Frame 8-6

หลังจากนั้นผ่านไปสองปี โยเซฟก็ยังอยู่ในคุก คืนหนึ่งฟาโรผู้ที่คนอียิปต์เป็นกษัตริย์ได้ฝันอยู่ สอง อย่าง.ในความฝันของฟาโรทำให้เขาลำบากใจมากไม่มีจะบอกความหมายของความฝันนั้นได้.

Frame 8-7

พระเจ้าให้โยเซฟนั้นมีความสามารถแก้ความฝัน ฟาโรนั้นใช้ให้คนไปพาเอาโยเซฟออกจากคุก. โยเซฟก็แก้ความฝันให้เขาพูดว่าพระเจ้าจะส่งความอุดมสมบูรณ์ 7 ปี. แล้วหลังจากนั้นก็เกิดการกันดารอาหาร.

Frame 8-8

ฟาโรรู้สึกว่าประทับใจโยเซฟ แล้วก็แต่งตั้งให้โยเซฟปกครองอียิปต์รองจากกษัตริย์ฟาโร.

Frame 8-9

โยเซฟสั่งให้ประชาชนทำยุ่งฉางใหญ่ๆเพื่อจะเก็บอาหารให้อุดมสมบูรณ์. ดังนั้นโยเซฟจึงขายอาหารให้กับประชาชนเมื่อกันดารอาหาร พอกินเจ็ดปี.

Frame 8-10

การกันดารอาหาร ไม่ใช่เกิดขึ้นที่เมืองอียิปต์เท่านั้น แต่เกิดขึ้นที่เมืองคานาอันที่ยาโคบและครอบครัวอาศัยอยู่.

Frame 8-11

ยาโคบ ก็ส่งลูกชายคนโตไปอียิปต์เพื่อไปซื้ออาหาร. แต่ว่าพี่น้องไม่รู้จักโยเซฟเมื่อพวกเขายืนต่อหน้าโยเซฟเพื่อจะซื้ออาหารแต่โยเซฟ จำพวกเขาได้

Frame 8-12

หลังจากที่เขาทดสอบพี่น้องของเขา เขาเห็นว่าพี่น้องเปลียนแปลงหรือยัง. โยเซฟบอกพวกเขาว่า เราเป็นน้องของท่านอย่ากลัวท่านพยายามทำสิ่งที่ชั่วเมื่อท่านขายเราไปเป็นทาสแต่พระเจ้าใช้สิ่งที่ชั่วร้ายสำหรับสิ่งที่ดี. มา มาอยู่ในเมืองอียิปต์กับเราเถอะเราจะเลี้ยงดูท่านและครอบครัวของท่านด้วย.

Frame 8-13

เมื่อพี่น้องของโยเซฟกลับไปถึงบ้านแล้ว บอกยาโคบพ่อของเขาว่าโยเซฟยังมีชีวิตอยู่. ยาโคบมีความสูขมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น

Frame 8-14

เมื่อยาโคบอายุมากแล้ว ย้ายไปอยู่เมืองอียิปต์พร้อมทั้งครอบครัวทั้งหมดแล้วพวกเขาอาศัยอยู่ที่นั้น. ก่อนที่ยาโคบจะตาย เขาได้อวยพรลูกของเขาแต่ละคน ทุกคน

Frame 8-15

พันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ให้กับอับราฮัมผ่านไปยังอิสอัค แล้วไปถึงยาโคบ แล้วก็ลูก 12 คนของยาโคบและครอบครัวของเขา. ผู้สืบเชื้อสายของยาโคบกลายเป็น 12 เผ่าของอิสราเอล.

เรื่องจากพระคัมภีร์ พระธรรมปฐมกาล 37-50

9. พระเจ้าทรงเรียกโมเสส

Frame 9-1

หลังจากที่ โยเซฟ ตายเชื้อสายของเขาทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในประเทศอียิฟหลายปีลูกหลานก็เพิ่มมากขึ้นพวกเขาเรียกตัวเองว่า อิสราเอล.

Frame 9-2

หลังจากนั้น หลายร้อยปีจำนวนคนอิสราเอลเพิ่มมากขึ้น. ชาวอียิฟจำโยเซฟที่ช่วยเหลือเขาไม่ได้. แล้วก็พวกเขากลัวพวกอิสราเอลเพราะว่าจำนวนคนอิสราเอลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ. ฟาโร ผู้ครองประเทศอียิฟในเวลานั้นให้อิสราเอลตกไปเป็นทาสของประเทศอียิฟ.

Frame 9-3

ชาวอียิฟบังคับให้ชาวอิสราเอลสร้างอาคารแม้แต่เมืองใหญ่ๆ. การทำงานหนักทำให้ชีวิตของพวกเขาลำบากมากแต่พระเจ้าก็ยังอวยพรพวกเขาและพวกเขาก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ.

Frame 9-4

ฟาโรเห็นว่าชาวอิสราเอลมีลูกมากขึ้นเรื่อยๆเขาก็เลยสั่งให้คนของเขาไปฆ่าเด็กผู้ชายอิสเอลโดยเอาไปทิ้งในแม่น้ำไน.

Frame 9-5

มีผู้หญิงอิสราเอลคนหนึ่งคลอดลูกชายคนหนึ่ง. เขาและสามีพยายามซ่อนเด็กคนคนนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้.

Frame 9-6

เมื่อพ่อแม่ของเด็กนั้นไม่สามารถซ่อนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว. พวกเขาก็เอาเด็กใส่ไว้ในตะกร้าแล้วก็เอาเด็กไปวางไว้ริมแม่น้ำไน.เพื่อช่วยให้เด็กนั้นรอดพ้นจากการถูกฆ่า. พี่สาวคนโตเฝ้าดูอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องของเขา.

Frame 9-7

วันหนึ่งลูกสาวของฟาโรเห็นตะกร้าและมองดูข้างใน. เมื่อเธอหรือลูกสาวฟาโรเห็นเด็กทารกแล้วก็นำเอาเด็กคนนั้นมาเป็นลูกของเขา. แล้วก็จ้างแม่ชาวอิสราเอลเลี้ยงดูเด็กคนนั้นโดยที่เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าเป็นแม่ของตัวเอง.เมื่อเด็กนั้นโตพอแม่ก็กลับส่งคืนให้ลูกสาวฟาโรและเธอก็ตั้งชื่อว่าโมเสส.

Frame 9-8

วันหนึ่งเมื่อโมเสสโตขึ้นเขาเห็นชาวอียิปต์กำลังตีทาสชาวอิสราเอล. โมเสสพยายามที่จะช่วยคนอิสราเอลนั้นรอด

Frame 9-9

เมื่อโมเสสคิดว่าไม่มีใครเห็นเขานั้นฆ่าคนอียิปต์แล้วก็ฝังร่างของเขา. แต่ยังมีคนหนึ่งเห็นการกระทำของโมเสส.

Frame 9-10

เมื่อฟาโรได้ยินสิ่งที่โมเสสทำเขาพยายามที่จะฆ่าเขาโมเสส. โมเสสหนีออกจากเมืองอียิปต์ไปยังถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะพ้นจากทหารของฟาโร.

Frame 9-11

โมเสสเขากลายเป็นคนเลี้ยงแกะในถิ่นทุรกันดารซึ่งห่างไกลจากประเทศอียิปต์. เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในสถานที่ที่เขาอยู่และได้มีลูกชายด้วยกัน 2 คน

Frame 9-12

วันหนึ่งขณะที่โมเสสเลี้ยงดูแกะของเขาเขาเห็นไฟกำลังลุกไหม้ แต่ว่าพุ่มไม้นั้นไม่ไหม้เลย. โมเสสก็เดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะมองเห็น ในขณะที่โมเสสเดินไปก็ได้ยินเสียงของพระเจ้าว่าโมเสสถอดรองเท้าของเจ้าออกเพราะที่เจ้ายืนเป็นที่ที่บริสุทธิ์.

Frame 9-13

พระเจ้าพูดกับโมเสสเราเห็นความทุกข์ยากลำบากของประชาชนของเรา. เราจะส่งเจ้าไปหาฟาโรเจ้านี้แหละที่เป็นคนนำชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์. เราจะยกแผ่นดินคานาอันให้พวกเขาเป็นดินแดนที่เราสัญญาไว้กับอับราฮัมและก็ยาโคบ.

Frame 9-14

โมเสส ถามพระเจ้าว่า "ถ้าชาวอิสราเอลถามว่าใครเป็นคนส่งท่านมา ข้าพเจ้าจะตอบคนอิสราเอลว่าอย่างไร เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น". เราเป็นผู้ส่งท่านไปหาเขาบอกอย่างนี้กับพวกเขาว่า เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า คือ อับราฮัม อิสอัค อิสราเอล นี้เป็นชื่อของเราตลอดไป.

Frame 9-15

โมเสสกลัวมากและไม่อยากจะไปหาฟาโรเพราะเขาคิดว่าเขาเป็นคนที่พูดไม่เก่ง. แล้วพระเจ้าก็ส่ง อาโรนพี่ชายของโมเสสไปช่วยเขา. แล้วพระเจ้าเตือนโมเสสกับอาโรนว่ากษัตรย์ฟาโรเป็นคนหัวแข็ง.

เรื่องจากพระคัมภีร์ อพยพ 1-4

10. ภัยพิบัติ 10 อย่าง

Frame 10-1

โมเสสกับอาโรนไปหาฟาโร พวกเขายอกว่าพระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่าปล่อยคนของเราไป. ฟาโรไม่ฟังเขาแทนที่จะปล่อยชาวอิสราเอลไปกลับบังคับให้อิสราเอลทำงานหนักขึ้น.

Frame 10-2

ฟาโรกักไว้ปฏิเสธที่จะให้อิสราเอลไป ดังนั้นพระเจ้าจึงส่งภัยพิบัติอันน่ากลัวในประเทศอียิปต์. ผ่านพิบัติเหล่านั้นพระเจ้าสำแดงให้ฟาโรเห็นว่า พระองค์มีอำนาจมากกว่าฟาโร และพระของคนอียิปต์ทั้งหมด.

Frame 10-3

พระเจ้าให้แม่น้ำไนกลายเป็นเลือดแต่ฟาโรก็ยังไม่ยอมปล่อยอิสราเอลออกไป.

Frame 10-4

แล้วพระเจ้าก็ส่งกบลงมาเหนือทั่วอียิปต์ ฟาโรขอร้องโมเสส ให้นำกบเหล่านั้นออกไปเสีย. หลังจากที่กบนั้นตายหมดแล้ว ใจของฟาโรก็ยังแข็งกระด้างกว่าเดิม.

Frame 10-5

แล้วพระเจ้าก็ส่งภัยพิบัติฝูงริ้นและแมลงวัน แล้วฟาโรก็เรียกโมเสสกับอาโรนอีกบอกว่า. ถ้าพวกเจ้าไม่หยุดภัยพิบัติเหล่านี้ ชาวอิสราเอลควรจะออกไปจากเมืองอียิปต์. เมื่อโมเสสอธิฐานพระเจ้าก็กำจัดฝูงริ้นและฝูงแมลงวันออกจากเมืองอียิปต์. แต่ใจของฟาโรยังแข็งกระด้างไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลออกไป.

Frame 10-6

ต่อมาพระเจ้าก็ทำให้เกิดโรคห่าแก่สัตว์ของคนอียิปต์ป่วยและตาย แต่ใจของฟาโรก็ยังแข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลออกไป.

Frame 10-7

ดังนั้นพระเจ้าบอกโมเสส ให้กำขี้เถ้าแล้วก็ซัดขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโร. เมื่อโมเสสทำอย่างนั้นแล้วทำให้ผิวหนังของคนอียิปต์ได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก แต่ชาวอิสราเอลไม่เป็นอะไร. พระเจ้าใจของฟาโรแข็งกระด้างและฟาโรไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลอกไป.

Frame 10-8

และหลังจากนั้นพระเจ้าส่งลูกเห็บใหญ่ตกลงมาจากฟ้าทำลายพืชผลของคนอียิปต์ และฆ่าทุกคนที่เดินออกมาข้างนอก. ฟาโรเรียกโมเสสกับอาโรนและบอกพวกเขาว่า เราได้ทำบาปมากพวกท่านควรจะออกไปเสียแล้วโมเสสอธิฐานลูกเห็บนั้นก็หยุดตกจากฟ้า.

Frame 10-9

แต่ฟาโรก็ได้ทำบาปอีกและใจของเขาก็แข็งกระด้างไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลออกไป.

Frame 10-10

แล้วพระเจ้าก็ได้ส่งฝูงตักแตนเหนืออียิปต์ตักแตนเหล่านั้นกัดกินพืชผักที่เหลือจากการถูกทำลายจากลูกเห็บ.

Frame 10-11

แล้วพระเจ้าก็ส่งความมืดเข้ามาในอียิปต์ 3 วันมันมืดจนชาวอียิปต์ออกจากบ้านไม่ได้แต่ที่อาศัยของชาวอิสราเอลนั้นสว่างอยู่.

Frame 10-12

หลังจากภัยพิบัตินันสงบลงฟาโรก็ยังปฎิเสธไม่ยอมให้ชาวอิสราเอลออกไป. เนื่องจากฟาโรไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ยังมีแผนที่จะส่งภัยพิบัติอีกหนึ่งอย่าง ภัยพิบัติอันนี้และที่ทำให้ใจของฟาโรเปลี่ยน.

พระธรรม อพยพ 5-10

11. พิธี ปัสกา

Frame 11-1

พระเจ้าทรงเตือนฟาโรถ้าไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป. พระองค์จะฆ่าบุตรายหัวปีทั้งคนและสัตว์ เมื่อฟาโรได้ยินอย่างนั้นปฎิเสธไม่เชื่อพระเจ้า.

Frame 11-2

แต้พระเจ้าทรงจัดหาหนทางที่จะให้ลูกหัวปีรอดที่เชื่อในพระองค์. ดังนั้นครอบครัวแต่ละคนต้องเลือกแกะที่สมบูรณ์แล้วก็ฆ่าแกะนั้น.

Frame 11-3

พระเจ้าตรัสบอกให้ชาวอิสราเอลว่า ให้เอาเลือดแกะทารอบๆประตูบ้านเขา และก็ย่างเนื้อแกะนั้นและกินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขนมปังที่ไร้เชื้อ. นอกจากนี้พระเจ้าก็ยังบอกพวกเขาอีกว่าให้เตรียมพร้อมที่จะออกจากอียิปต์เมื่อพวกเขากินเสร็จแล้ว.

Frame 11-4

ชาวอิสราเอลทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าบัญชาให้พวกเขาทำ ในตอนกลางคืนพระเจ้าจะเสด็จลงมาในทุกหนทุกแห่งแล้วก็ฆ่าบุตรชายหัวปีทุกคนให้ตาย.

Frame 11-5

ทุกครัวเรือนของอิสาเอลที่ทาเลือดรอบประตูพระเจ้าจะผ่านเหนือบ้านยเหล่านั้นทุกคนรที่อยู่ในบ้านจะปลอดภัย. ที่พวกเขารอดเพราะเลือดของแกะ.

Frame 11-6

แต่ชาวอียิปต์ที่ไม่เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์. พระเจ้าจะไม่ผ่านบ้านของพวกเขาแตพระเจ้าจะทรงฆ่าบุตรชายหัวปีของชาวอียิปต์ทุกคน.

Frame 11-7

บรรดาบุตรชายหัวปีของชาวอียิปต์ตายเริ่มตั้งแต่บุตรชายหัวปีของนักโทษจนถึงบุตรชายหัวปีของฟาโร. หลายคนในอียิปต์ร้องให้คร่ำครวญเพราะพวกเขาเสียใจมาก.

Frame 11-8

ในคืนเดียวกันนั้นฟาโรขอร้องให้โมเสสและอาโรนว่าจงพาคนอิสราเอลออกไปจากอียิปต์เสีย และคนอียิปต์ขอร้องให้ชาวอิสราเอลออกไปจากอียิปต์เร็วที่สุด. แล้วคนอียิปต์เอาเงินทองให้ชาวอิสราเอลเมื่อออกจากอียิปต์.

อพยพ 11-1-12:32

12. พระธรรมอพยพ

Frame 12-1

ชาวอิสราเอลมีความสูขมากเมื่อได้ออกจากอียิปต์ที่พวกเขาไม่ได้เป็นทาสอีกแล้ว และพวกเขาก็กำลังเดินทางไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา. ชาวอียิปต์ให้ทุกอย่างที่ชาวอิสราเอลขอเช่น ทองคำ เงิน และสิ่งของอื่นๆที่มีค่า บางคนมาจากต่างชาติเชื่อในพระเจ้าแล้วก็พร้อมออกเดินทางไปกับชนชาติอิสราเอลขณะที่เดินทางออกจากอียิปต์.

Frame 12-2

พระเจ้าทรงนำพวกเขาด้วยเสาเมฆสูงเหนือหัวของพวกเขาในระหว่างกลางวันและมีเสาไฟสูงในเวลากลางคืน. พระเจ้าทรงสถิตกับพวกเขาตลอดเวลาและนำพวกเขาขณะเดินทางและพวกเขาก็ทำตามที่พระเจ้าบอกพวกเขาทุกอย่าง.

Frame 12-3

ช่วงเวลาสั้นๆฟาโรและคนของเขาเปลี่ยนใจและต้องการให้ชาวอิสรารเอลเป็นทาสของพวกเขาอีก. พระเจ้าทรงกระทำให้ฟาโรใจแข้ง เพื่อให้เขาเห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวและให้พวกเขาเข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีฤทธ์อำนาจมากกว่าพระของพวกเขาด้วย.

Frame 12-4

ดังนั้นฟาโรและกองทัพจึงไล่ตามคนอิสราเอลเพื่อให้กลับมาเป็นทาสของพวกเขาอีก. เมื่อชาวอิสราเอลเห้นกองทัพของฟาโรกับทะเลแดง พวกเขากลัวมากและร้องออกว่าทำไมพวกเราจึงออกจากเมืองอียิปต์และพวกเรากำลังจะตาย.

Frame 12-5

โมเสสบอกชาวอิสราเอลว่าหยุดอย่ากลัวเลยวันนี้พระเจ้าจะสู้รบเพื่อพวกท่านและวันนี้พวกท่านจะรอด. แล้วพระเจ้าตรัสบอกกับโมเสสว่า จงบอกให้ชาวอิสราเอลก้าวออกไปข้างหน้าแล้วเดินลงไปในทะเลแดง.

Frame 12-6

แล้วพระเจ้าย้ายเสาเมฆและพระองค์วางไว้ระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวอียิปต์. แต่ชาวอียิปต์มองไม่เห็นชาวอิสราเอล.

Frame 12-7

พระเจ้าบอกโมเสสให้ยกมือของเขาขึ้นเหนือทะเล แล้วน้ำทะเลก็แยกออกพระเจ้าทำให้ลมพัดน้ำทะเลไปทางด้านซ้ายและด้านขวาเพื่อให้เกิดทางเดินผ่านทะเลได้.

Frame 12-8

ชาวอิสราเอลเดินข้ามบนแผ่นดินแห้ง โดยมีกำแพงน้ำที่ตั้งอยู่สองข้างของพวกเขา.

Frame 12-9

หลังจากนั้นพระเจ้าทรงย้ายเสาเมฆออกไปจากทาง เพื่อให้ชาวอยิปต์มองเห็นชาวอิสราเอลกำลังหนี. แล้วชาวอียิปต์ก็ตัดสินใจไล่ตามพวกเขา.

Frame 12-10

แล้วพวกเขาก็ไล่ตามชาวอิสราเอลไปยังเส้นทางผ่านทะเลแดงแต่พระเจ้าทรงกระทำให้ชาวอียิปต์ตกใจ สับสน. และทำให้รถรบของพวกเขาติดขัดไปไม่ได้ แล้ว ตะโกนว่าหนีไปเถอะ พระเจ้ากำลังต่อสู้เพื่อชาวอิสราเอล.

Frame 12-11

หลังจากที่ชาวอิสราเอลเดิทางข้ามทะเลอย่างปลอดภัย พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่าให้เยียดแขนขึ้น โมเสสก็เชื่อฟังน้ำก็ท่วมกองทัพอียิปต์และพื้นที่ก็กลับมาเป็นปกติ

Frame 12-12

เมื่อชาวอิสราเอลเห็นชาวอียิปต์จมน้ำตายพวกเขาก็ไว้วางใจพระเจ้าและเชื่อว่าโมเสสเป็นคนรับใช้พระเจ้าจริง.

Frame 12-13

ชาวอิสราเอลก็ชื่นชมยินดีมากเพราะพระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากความตายและการเป็นทาส. ขระนี้มีอิสระที่จะรับใช้พระเจ้าชาวอิสราเอลร้องเพลงเพื่อฉลองอิสระภาพใหม่และสรรเสริญพระเจ้า. เพราะพระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากกองทัพอียิปต์.

Frame 12-14

พระเจ้าทรงบัญชาให้ชาวอิสราเอลฉลองเทศกาลปัสกาทุกปีเพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าให้พวกเขาชนะชาวอียิปต์. และช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากการเป็นทาสและก็ให้พวกเขาฉลองโดยการฆ่าลูกแกะที่สมบูรณ์ที่สุดโดยกินกับขนมปังไร้เชื้อ. และชาวอิสราเอลกระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชาทุกประการ.

13. พระสัญญาของพระเจ้าต่ออิสราเอล

Frame 13-1

หลังจากที่พระเจ้านำชนชาติอิสราเอลข้ามทะเลแดง ผ่านถิ่นทุรกันดารถึงภูเขา ที่เรียกว่า “ ซีนาย” อิสราเอลตั้งค่ายที่เนินเขา

Frame 13-2

พระเจ้าตรัสกับโมเสส แล้วอิสราเอลว่า ถ้าปฏิบัติตามและรักษาคำสัญญา จะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าจะเป็นชนชาติที่บริสุทธิ์

Frame 13-3

หลังจากสามวันให้ชนชาติอิสราเอลจงเตรียมตัวให้พร้อม พระเจ้าเสด็จมาบนยอดภูเขาซีนาย ด้วยเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ,ควัน และเสียงแตรดังสนัน โมเสสคนเดียวที่พระเจ้ายอมให้ขึ้นไปบนภูเขา

Frame 13-4

พระเจ้าให้สัญญาแก่พวกเขาและตรัสว่า เราคือพระยาเวห์พระเจ้าของเจ้าผู้ได้นำเจ้าพ้นทาสจากอียิปต์ “อย่ากราบใหว้พระอื่น”

Frame 13-5

อย่าทำรูปเคารพ และอย่ากราบใหว้เพราะเรายาเวห์เป็นพระเจ้าที่หวงแหน อย่าใช้พระนามของเราในทางที่ไม่ให้เกียติ จงรักษาวันสะบาโตซึ่งเป็นวันบริสุทธิ์ นั้นคือทำงานของเจ้าทั้งหมด หกวันเพราะวันที่เจ็ดเป็นพักผ่อนและระลึกถึงเรา

Frame 13-6

จงให้เกียติบิดามารดาของเจ้า อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าขโมย อย่าโกหก อย่าโลภบ้านเรือนและภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือสิ่งใดๆที่เป็นของเขา

Frame 13-7

ดังนั้นพระเจ้าทรงเขียนพระบัญญัติ สิบ ประการบนแผ่นศิลา สอง แผ่น และมอบแผ่นศิลานั้น แก่โมเสสพระเจ้ามอบกฎอื่นๆอีกมากมายและปฏิบัติตาม ถ้าพวกเขาเชื่อฟังกฎเหล่านั้น พระเจ้าสัญญาจะอวยพรพวกเขาและปกป้องพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม พระเจ้าจะลงโทษพวกเขา

Frame 13-8

พระเจ้าอธิบายรายละเอียดลักษณะให้อิสราเอล สำหรับเต้นท์ที่พวกเขาต้องการจะสร้างเรียกเต้นท์นั้นว่า เต้นท์นัดพบซึ่งมีอยู่ สอง ห้อง มีผ้าม่านกั้น มีเพียงมหาปุโรหิตที่เข้าไปในห้องหลังม่าน เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ที่นั้น

Frame 13-9

ใครก็ตามที่ทำผิดกฎของพระเจ้า นำสัตว์วางบนแท่นข้างหน้าเต้นท์นัดพบเพื่อเป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าปุโรหิตคนหนึ่ง ฆ่าสัตว์เสร็จแล้วเผ่าบนแท่นบูชาแล้วนำเลือดของสัตว์นั้น ก็เป็นเครื่องบูชาครอบครุมบาปของคนนั้น และทำให้คนนั้น บริสุทธ์ในสายพระเนตรของผู้นั้น พระเจ้าทรงเลือกอาโรนพี่ชายของโมเสส เป็นปุโรหิตตลอดไป

Frame 13-10

ชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ยอมรับและเชื่อฟังกฎที่พระเจ้าประทานให้พวกเขาที่จะนมัสการพระเจ้าองค์เดียว และจะเป็นคนพิเศษสำหรับพระองค์แต่ไม่นานหลังจากที่พวกเขาสัญญาไว้กับพระเจ้าพวกเขาได้ทำบาปอันยิ่งใหญ่อีก

Frame 13-11

หลายวันที่โมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนาย พบพระเจ้า อิสราเอลเบื่อที่รอคอยโมเสสกลับมา ดังนั้นพวกเขานำทองไปให้อาโรนและบอกเขาว่าทำรูปเคารพให้กับพวกเราด้วย

Frame 13-12

อาโรนนำทองนั้นเป็นรูปเคารพ มีลักษณะคล้ายกับวัวและอิสราเอลเริ่มใหว้รูปเคารพและทำเครื่องบูชาให้เขา พระเจ้าโกรธพวกเขามากเพราะความบาปของพวกเขา และมีแผนที่จะฆ่าทำลายพวกเขา แต่โมเสสอธิษฐานเผื่อพวกเขา และพระเจ้าก็ให้ตามที่โมเสสขอ

Frame 13-13

เมื่อโมเสสกลับลงมาจากภูเขานั้น เห็นรูปวัวทองคำเขาโกรธมาก เขาโยนแผ่นศิลา ธรรมบัญญัติ สิบ ประการที่พระเจ้าเขียนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง

Frame 13-14

ดังนั้นโมเสสจึงทุบรูปวัวทองคำบทให้เป็นผง แล้วโรยผงนั้นลงในน้ำ แล้วบังคับให้พวกเขาดื่ม พระเจ้า ส่งภัยพิบัติเกิดขึ้นในพวกเขาแล้วพวกเขาตาย

Frame 13-15

โมเสสนั้นขึ้นภูเขาอีกและขอพระเจ้าอภัยยกโทษให้พวกเขา พระเจ้าก็ฟังโมเสสพระเจ้าก็อภัยให้กับพวกเขา โมเสสก็เขียนธรรมบัญญัติ สิบ ประการขึ้นใหม่อีก สอง แผ่นแทนที่เขาทำแตก ดังนั้นพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลออกจากภูเขาซีนายไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญา

เรื่องเล่าจากพระคัมภี อพยพ 19-34

14. ชาวอิสราเอล เดินวนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร

Frame 14-1

หลังจากที่พระเจ้าได้ตรัสกับชนชาติอิสราเอลถึงกฎบัญญัญิ ที่พระองค์ต้องการให้พวกเขาเชื่อฟัง เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงกับพวกเขา. พวกเขาออกจากภูเขาซีนายพระเจ้าเริ่มนำพวกเขาไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญาซึ่งเรียกว่า คะนาอัน. เสาเมฆไปข้างหน้าและนำพวกเขาไปแผ่นดินคะนาอัน.

Frame 14-2

พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ. พระองค์สัญญาจะยกแผ่นดินแห่งพันธสัญญาให้แก่เชื้อสายของเขา. แต่ขณะนี้มีคนอาศัยหลายกลุ่มพวกเขาเรียกตัวเองว่าคนคะนาอัน. ชาวคะนาอันไม่นมัสการหรือเชื่อฟังพระเจ้า. พวกเขานมัสการพระเทียมเท็จและได้กระทำสิ่งชั่วร้ายหลายอย่าง.

Frame 14-3

พระเจ้าตรัสกับชาวอิสราเอลว่า พวกเจ้าต้องกำจัดคนคะนาอันทั้งหมดในดินแดนแห่งพันธสัญญา. อย่าสามัคคีกับพวกเขาอย่าแต่งงานกับพวกเขา เจ้าต้องทำหลายรูปเคารพของพวกเขาให้หมดสิ้น. ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อฟังเราเจ้าจะกราบใหว้รูปเคารพของพวกเขาแทนเรา.

Frame 14-4

เมื่อชาวอิสราเอลมาถึงชายแดนของคะนาอัน โมเสสเลือกชาย 12 คน ในตระกูลอิราเอล 12 ตระกระกูล ตระกูลละ 1 คน. โมเสสสั่งให้พวกเขาเข้าไปสอดแนมแผ่นดินคะนาอันว่ามีลักษณะอย่างไร. แล้วพวกเขาก็เข้าไปดูคนคะนาอันว่า มีความแข็งแรงหรืออ่อนแอ.

Frame 14-5

ชาย สิบสอง คนเดินทางผ่านแผ่นดินคะนาอันมา สี่สิบ วันแล้วจึงกลับมาบอกชาวอิสราเอลว่า แผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วย พืชพันธุ์ธัญญาหาร. แต่ว่าคนสอดแนมสิบคนนั้นบอกว่าเมืองนั้นแข็งแรงและคนก็ตัวใหญ่เหมือนยักษ์. ถ้าเราเข้าไปโจมตีพวกเขาเราจะต้องแพ้แน่นอนและพวกเขาก็จะฆ่าเราด้วย.

Frame 14-6

เมื่อ คาเลบ กับ โยชูวา คนสอดแนมบอกว่าเป็นความจริงที่คนคานาอันสูงมาก และแข็งแรงแต่เราสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างแน่นอนเพราะพระเจ้าต่อสู้เพื่อเรา.

Frame 14-7

แต่คนอิสราเอลไม่ฟัง คาเลบกับโยชูวา. พวกเขากลับโกรธโมเสสกับอาโรนบอกว่าทำไมพวกท่านจึงนำพวกเรามายังแผ่นดินนี้ให้ล้มตายเราควรจะอยู่ในอียิปต์ดีกว่าจะต้องมาตายที่นี้ และภรรยาลูกของเราก็ถูกจับไปเป็นทาส. ชาวอิสราเอลต้องการที่จะเลือกผู้นำคนใหม่เพื่อจะนำพวกเขากลับเมืองอียิปต์.

Frame 14-8

พระเจ้าโกรธมากจึงเสด็จเข้าเต้นนัดพบ. และพระเจ้าตรัสว่า เพราะเจ้าได้กบฎต่อเราคนอิสราเอลทุกคนต้องเร่ร่อนพเนจรในถิ่นทุรกันดาร. คนอิสราเอลที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปี ขึ้นไปจะต้องตายที่นั้น พวกเขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ยกเว้นโยชูวากับคาเลบ.

Frame 14-9

เมื่อคนอิสราเอลได้ยินอย่างนั้น พวกเข้าเสียใจที่ได้กระทำบาป. พวกเขาจึงนำเอาอาวุธเเข้าไปต่อสู้กับคนคะนาอัน. แต่โมเสสเตือนพวกเขาไม่ให้ไปเพราะพระเจ้าไม่สถิตอยู่กับพวกเขาแต่ว่าพวกเขาไม่ฟังโมเสส.

Frame 14-10

พระเจ้าไม่ได้ต่อสู้ร่วมกับพวกเขา จึงเป็นเหตุให้พวกเขาพ่ายแพ้และตายเป็นจำนวนมาก.ดังนั้นคนอิสราเอลกลับมาจากคะนาอันและเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารตลอด สี่สิบ ปี.

Frame 14-11

ในช่วงระยะเวลา สี่สิบ ปี ที่คนอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร. พระเจ้าได้เลี้ยงดูโดยประทาน อาหารลงมาจากสวรรค์เรียกว่า มานา . พระเจ้าได้ส่งนกกระทาให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็ได้กินเนื้อนกนั้น. ในช่วงนั้นพระเจ้าดูแลเสื้อผ้าและรองเท้าของพวกเขาไม่ให้เสียหาย.

Frame 14-12

แม้พระเจ้าจะทรงประทานน้ำออกมาจากหินให้พวกเขาอย่างน่าอัศจรรย์แต่คนอิสราเอลก็ยังบ่นต่อพระเจ้าและโมเสส. แต่พระเจ้าก็ยังสัตย์ซื่อต่อคำสัญญาของพระองค์ที่ให้ใว้กับ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ.

Frame 14-13

อีกครั้งหนึ่งที่คนอิสราเอลไม่มีน้ำดื่ม พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า จงพูดกับหินนั้นซิ และน้ำก็จะออกมาจากหินนั้น. แต่โมเสสทำให้พระเจ้าเสียชื่อเสียงต่อหน้าคนอิสราเอล โดยใช้ไม้เท้าตีหินถึงสองครั้งแทนที่จะพูดกับหินนั้น. แต่น้ำก็ยังออกจากหินเพื่อทุกคนจะได้ดื่ม พระเจ้าโกรธโมเสสและตรัสว่าเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา.

Frame 14-14

หลังจากที่คนอิสราเอลเร่ร่อนพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดาร สี่สิบ ปี ผู้ที่ได้กบฎต่อพระเจ้าตายหมดทุกคน. แล้วพระเจ้าได้นำคนอิสราเอลที่เหลือเดินทางถึงเขตแดนคะนาอัน.โมเสสอายุมากแล้วดังนั้นพระเจ้าจึงเลือกโยชูวาเป็นผู้ช่วยเขานำคนอิสราเอล. แล้วพระเจ้าสัญญากับโมเสสว่าวันหนึ่งพระองค์จะส่งผู้เผยพระวจนะคนอื่นที่เหมือนกับโมเสส.

Frame 14-15

แล้วพระเจ้าทรงบอกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขานั้น โมเสสก็ดูแผ่นดินคะนาอันนั้นแต่พระเจ้าก็ไม่อนุญาติให้เขาเข้าไปในแผ่นดินนั้น. แล้วโมเสสก็สิ้นชีวิตลง ชาวอิสราเอลได้ไว้อาลัยให้กับ โมเสส สาม สิบ วัน. โยชูวา ก็กลายเป็นผู้นำที่ดีของพวกเขาเพราะเขาไว้วางใจและเชื่อฟังพระเจ้า.

เรื่องเล่าจากพระคัมภี อพยพ 16-17; กันดารวิถี 10-14; 20; 27; เฉลยธรรมบัญญัติ 34

15. แผ่นดินแห่งพันธสัญญา

Frame 15-1

ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินคะนาอันดินแดนแห่งพันธสัญญา โยชูวาส่งคนสอดแนม สองคนเข้าไปในเมืองคานาอันของเยรีโค ที่ป้องกันโดยกำแพงที่แข็งแรง ในเมืองนั้นมีหญิงโสเภณีคนหนึ่งชื่อ ราฮับ ผู้ที่ซ่อนคนสอดแนม และต่อมาก็ช่วยพวกเขาหนีไป ที่นางทำเช่นนี้เพราะเชื่อฟังพระเจ้าพวกเขาสัญญาว่าจะช่วยนาง ราฮับ และครอบครัวของนาง เมื่อคนอิสราเอลทำลายเมืองเยรีโค.

Frame 15-2

คนอิสราเอลก็ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญา. พระเจ้าทรงบอกกับโยชูวาว่า ให้ปุโรหิตลงไปก่อน เมื่อปุโรหิตก้าวลงไปแล้วน้ำก็จะหยุดใหล. ดังนั้นได้ข้ามด้านอื่นของแม่น้ำบนดินที่แห้ง.

Frame 15-3

หลังจากคนอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนแล้ว พระเจ้าทรงบอกโยชูวาว่าจะโจมตีเมืองอันทรงพลังของเยรีโคอย่างไร ทหารและปุโรหิตต้องเดินรอบเมืองเยรีโควันละครั้งเป็นเวลาหกวัน คนอิสราเอลเชื่อฟังพระเจ้าเช่นเดียวกันที่พระเจ้าบอกให้พวกเขาทำ.

Frame 15-4

ต่อมาในวันที่เจ็ดคนอิสราเอลเดินรอบๆเมืองอีกเจ็ดครั้ง. ขณะที่พวกเขาเดินรอบเมืองเป็นครั้งสุดท้ายทหารตะโกน ในขณะเดียวที่ปุโรหิตกำลังเป่าแตรของพวกเขา.

Frame 15-5

หลังจากนั้นกำแพงรอบเมืองเยรีโคพังทลายลง คนอิสราเอลก็ทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในเมืองตามที่พระเจ้าสั่ง พวกเขาสงสารนางราฮับและครอบครัวที่ช้วยสอดแนม สองคน ภายหลังราฮับและครอบครัวเปลี่ยนมาเป็นคนอิสราเอล. เมื่อคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในเมืองคานาอันได้ยินว่าคนอิสราเอลทำลายเมืองเยรีโค พวกเขาหวาดกลัวว่าคนอิสราเอลจะโจมตีพวกเขาด้วย

Frame 15-6

พระเจ้าทรงบัญชาให้คนอิสราเอลว่าอย่าทำสัญญากับเผ่าใดๆในเมืองคานาอัน. แต่มีชนเผ่าหนึ่งที่เรียกตนเองว่า กิเบโอน โกหกโยชูวาและบอกพวกเขามาจากที่ห่างใกลจากคานาอัน. พวกเขาขอโยชูวาทำสัญญากับพวกเขา โยชูวาและคนอิสราเอลไม่ได้ถามพระเจ้าว่าคนกิเบโอนมาจากใหน. ดังนั้นโยชูวาก็ได้ทำสัญญากับพวกเขา.

Frame 15-7

เมื่ออิสราเอลรู้ว่าคนกิเบโอนโกหกพวกเขาก็โกรธ. แต่พวกเขาก็ยังรักษาสัญญาที่ทำกับพวกกิบิโอนใว้ เพราะสัญญานั้นเขาได้ทำต่อหน้าพระเจ้า. เวลาต่อมากษัตริย์ของอาโมไรและกลุ่มอื่นๆที่อาศัยอยู่ในคานาอันได้ยินคนกิเบโอนทำสัญญากับชาวอิสราเอล พวกเขาได้นำกองทัพใหญ่ของพวกเขาแล้วโจมตีกิเบโอน. ส่วนกิเบโอนได้ส่งข่าวสารถึงโยชูวาเพื่อขอความช่วยเหลือ.

Frame 15-8

ดังนั้นโยชูวาจึงรวบรวมทหารอิสราเอลและพวกเขาเดินทางทั้งคืนจนถึงกิเบโอน. พอรุ่งเช้าทหารอิสราเอลก็โจมตีทหารของอาโมไรต์อย่างคาดไม่ถึง.

Frame 15-9

วันนั้นพระเจ้าทำสงครามเพื่อชนชาติอิสราเอล. พระเจ้าทำให้กองทัพอาโมไรต์สับสนและพระองค์ก็ได้ส่งลูกเห็บขนาดใหญ่ตกลงมาฆ่าคนอาโมไรต์ให้ตายเป็นจำนวนมาก.

Frame 15-10

พระเจ้าทำให้ดวงอาทิตย์หยุดอยู่กับที่บนท้องฟ้า. จึงเป็นเหตุให้คนอิสราเอลมีเวลาพอที่จะเอาชนะคนอาโมไรต์. พระเจ้าได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในวันนั้นเพื่อคนอิสราเอล

Frame 15-11

หลังจากที่พระเจ้าชนะทหารเหล่านั้นเผ่าอื่นๆ ที่อาศัยอยู่คานาอันรวมตัวกันโจมตีอิสราเอล. โยชูวาและทหารอิสราเอลเข้าโจมตีและทำลายพวกเขา

Frame 15-12

หลังจากสงครามนั้นพระเจ้าได้แบ่งแผ่นดินแห่งพันธสัญญาให้อิสราเอลแต่ละชนเผ่า แล้วพระเจ้าให้อิสราเอลนี้สงบตลอดทั้วเขตแดนแผ่นดินนั้น

Frame 15-13

เมือโยชูวาอายุมากแล้ว เขาเรียกคนอิสราเอลทั้งหมดรวมตัวกัน. ดังนั้นโยชูวา บอกคนอิสราเอลรำลึกถึงพันธสัญญาระหว่างกัน. ที่ต้องเชื่อฟังและคำสัญญาที่พระเจ้าให้กับพวกอิสราเอลที่ภูเขาซีนาย. คนอิสราเอลก็สัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าและจะทำตามกฎของพระองค์.

เรื่องในพระคัมภีร์จากโยชูวา 1-24

16. ผู้วินิจฉัย

Frame 16-1

หลังจากที่โยชูวาตายคนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า. ไม่ขับไล่คนคานาอันที่เหลือและไม่เชื่อฟังกฏของพระเจ้า. คนอิสราเอลเริ่มนมัสการพระของคนคานาอันแทนพระยาเวห์พระเจ้าเที่ยงแท้. ชาวอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ดังนั้นทุกคนทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องสำหรับพวกเขา.

Frame 16-2

คนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขา โดยปล่อยให้พวกศัตรูทำลาย. ศัตรูเหล่านั้นขโมยของจากอิสราเอล ทำลายทรัพย์สินของพวกเขาและฆ่าคนอิสราเอลตายหลายคน. หลังจากผ่านไปหลายปีที่คนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้าและถูกกดขี่โดยศัตรู. ชาวอิสราเอลกลับใจและขอพระเจ้าช่วยกู้พวกเขาจากศัตรู.

Frame 16-3

ดังนั้นพระเจ้าทรงจัดเตรียมผู้วินิจฉัยผู้ช่วยให้เขารอดพ้นจากมือของศัตรูของพวกเขาและนำสันติสูขสู่แผ่นดิน. หลังจากนั้นไม่นานประชาชนได้ลืมพระเจ้าและเริ่มนมัสการรูปเคารพอีกครั้ง. ดังนั้นพระเจ้าจึงอนุญาติให้คนมีเดียนซึ่งเป็นศัตรูเอาชนะพวกเขา.

Frame 16-4

คนมีเดียนขโมยพืชผลของคนอิสราเอล ในช่วงระยะเวลา 7 ปี . คนอิสราเอลกลัวมากจึงซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ เพื่อไม่ให้พวกมีเดียนหาเจอ. ในที่สุดคนอิสราเอลก็ร้องเรียกพระเจ้าเพื่อช่วยกู้พวกเขา.

Frame 16-5

วันหนึ่งมีชายอิสราเอลคนหนึ่งชื่อ กิเดโอน กำลังแอบนวดข้าวเพื่อไม่ให้คนมีเดียนพบ. ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาหากิเดโอนและตรัสว่า พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านนักรบผู้แข็งแกร่งเอ๋ย.

Frame 16-6

พ่อของกิเดโอนมีแท่นบูชาที่ใช้กราบใหว้รูปเคารพ. พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า "ให้รื้อแท่นบูชานั้นเสีย" แต่กิเดโอนกลัวประชาชนจึงรอจนถึงกลางคืน กิเดโอนทำลายแท่นบูชาเป็นชิ้นๆ. แล้วเขาจึงสร้างแท่นบูชาขึ้นมาใหม่แทนเครื่องบูชาอันเก่าให้กับพระเจ้าแล้วถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าบนแท่นบูชานั้น.

Frame 16-7

เช้าวันรุ่งขึ้นประชาชนเห็นว่ามีคนรื้อทำลายแท่นบูชานั้น พวกเขาโกรธมาก. พวกเขาเดินเข้าไปในบ้านของกิเดโอนเพื่อที่จะฆ่ากิเดโอน แต่พ่อของกิเดโอนบอกว่า "ทำไม พวกท่านจึงพยายามจะช่วยพระของพวกท่าน. ถ้าเป็นพระเจ้าให้ปกป้องตัวเอง ซิ. ที่ประชาชนไม่ฆ่ากิเดโอน เพราะพ่อของเขาพูดอย่างนี้.

Frame 16-8

แล้วพวกมีเดียนกลับมาอีกเพื่อขโมยพืชผลจากอิสราเอล. พวกเขามีจำนวนมากไม่สามารถนับจำนวนได้. กิเดโอน ขอพระเจ้าสำแดงหมายสำคัญสองอย่าง เพื่อที่จะให้เขามีความมั่นใจว่า เขาได้เป็นคนช่วยกู้ชนชาติอิสราเอล.

Frame 16-9

หมายสำคัญอันดับแรก กิเดโอนวางเสื้อบนพื้นดินและขอพระเจ้าปล่อยน้ำค้างที่ตกอยู่บนผ้าเท่านั้น ไม่ให้ตกลงพื้น. พระเจ้าทรงกระทำอย่างนั้น คืนถัดไปเขาขอพระเจ้าให้พื้นดินนั้นเปียกแต่ให้ผ้านั้นแห้ง. พระเจ้าก็ทำอย่างนั้น หมายสำคัญทั้งสองอย่างช่วยให้ กิเดโอนเชื่อว่าพระเจ้าใช้เขาให้ช่วยกู้คนอิสราเอลจากคนมีเดียน.

Frame 16-10

กิเดโอน เรียกคนอิสราเอลมารวมตัวกันเพื่อจะต่อสู้กับคนมีเดียน. ทหารอิสราเอล 32,000 คนเข้ามาหากิเดโอน แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่ามากเกินไป กิเดโอน จึงส่งคนผู้ที่กลัวการสู้รบกลับไป จำนวน 22,000 คน. พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่ายังมีผู้ชายมากอยู่ แล้วกิเดโอนจึงส่งพวกเขาทั้งหมดกลับไป ยกเว้นทหาร 300 คนเท่านั้น.

Frame 16-11

คืนนั้นพระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า จงไปยังค่ายของคนมีเดียนเถิดและเมื่อเจ้าได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูดเจ้าจะไม่ได้กลัวอีกต่อไป. คืนนั้น กิเดโอนจึงลงไปที่ค่าย แล้วได้ยินทหารมีเดียนคนหนึ่งคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับความฝัน. เพื่อนของเขาบอกว่าความฝันนี้หมายความว่าทหารของกิเดโอนจะทำหลายกองทัพของคนมีเดียน. เมื่อกิเดโอนได้ยินอย่างนั้นแล้วเขาจึงนมัสการพระเจ้า.

Frame 16-12

แล้วกิเดโอนก็กลับไปยังที่อยู่ทหารของเขา แล้วส่งแตร หม้อดิน กับโคมไฟ ให้แต่ละคน. พวกเขาล้อมรอบค่ายที่คนมีเดียนกำลังหลับอยู่ ทหาร 300 คนของกิเดโอนมีโคมไฟอยู่ในหม้อดินเพื่อไม่ให้คนมีเดียนมองเห็นแสงไฟจากโคมไฟได้.

Frame 16-13

แล้วทหารของกิเดโอนทุกคนก็ทุบหม้อดินแตกพร้อมกัน. ทันทีที่โคมไฟเปิดพวกเขาก็เป่าแตรและตะโกนว่า ดาบของพระเจ้าและของกิเดโอน.

Frame 16-14

ดังนั้น พระเจ้าทรงให้คนมีเดียนสับสน เพื่อให้พวกเขาเริ่มโจมตีฆ่ากันเอง. คนอิสราเอลขับไล่คนมีเดียนแล้ะฆ่าพวกเขาตายหลายคนแล้วขับไล่คนที่เหลืออยู่ออกจากแผ่นดินของชาวอิสราเอล. คนมีเดียนที่ตายในวันนั้น 120,000 คน พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาวอิสราเอลได้.

Frame 16-15

หลังจากนั้นประชาชนอยากให้กิเดโอนปกครองพวกเขา. แต่กิเดโอนไม่ยอมกิเดโอน บอกว่าพระเจ้าปกครองเราแล้ว แต่เขาขอแหวนทองคำของแต่ละคนที่เอามาจากคนมีเดียน. และคนอิสราเอลก็เอาแหวนทองคำให้แก่กิเดโอนเป็นจำนวนมาก.

Frame 16-16

แล้วกิเดโอนจึงใช้ทองคำนั้นทำเป็นเสื้อผ้าที่พิเศษคล้ายๆกับเสื้อที่มหาปุโรหิตเคยใช้. แต่คนอิสราเอลก็กราบใหว้เสื้อนั้นเหมือนกับพระเจ้าของพวกเขา. ดังนั้นพระเจ้าจึงลงโทษพวกอิสราเอล เพราะพวกเขากราบใหว้รูปเคารพ.พระเจ้าจึงอนุญาติให้ศัตรูของอิสราเอลทำลายพวกเขา. ในที่สุดพวกอิสราเอลก็ขอพระเจ้าช่วยพวกเขาอีก แล้วพระเจ้าก็ส่งผู้วินิจฉัยคนอื่นๆให้กับพวกเขา.

Frame 16-17

คนอิสราเอลทำบาปต่อพระเจ้า อยู่อย่างนี้หลายครั้ง. พระเจ้าจึงลงโทษพวกเขา. คนอิสราเอลกลับใจแล้วพระเจ้าส่งผู้วินิจฉัยไปช่วยพวกเขาอีก. หลายปีต่อมามีผู้วินิจฉัยหลายคนที่พระเจ้าส่งผู้ที่จะมาช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากศัตรู.

Frame 16-18

ในที่สุดประชาชนก็ขอกษัตริย์จากพระเจ้าเหมือนกับชาติอื่นๆ. พวกเขาต้องการกษัตริย์ที่รูปร่างสูงและแข็งแรงเป็นผู้ที่สามารถนำพวกเขาเข้าสู่สงครามได้. พระเจ้าไม่ชอบการขอในเรื่องนี้ของคนอิสรารเอล แต่พระเจ้าทรงให้กษัตริย์แก่พวกเขาตามที่พวกเขาขอ.

เรื่องมาจาก ผู้วินิจฉัย 1-3, 6-8

17. พระสัญญาของพระเจ้ากับดาวิด

Frame 17-1

ซาอูล เป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอล. เขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงมีลักษณะตามที่ชาวอิสราเอลต้องการ. ซาอูล เป็นกษัตริย์ที่ดีมากในช่วงเวลา 2-3 ปีแรกที่เขาปกครองชนชาติอิสราเอล. แต่หลังจากนั้นเขาเปลี่ยนเป็นคนที่ชั่วร้ายไม่เชื่อฟังพระเจ้า. ดังนั้นพระเจ้าจึงเลือกคนใหม่ขึ้นมาแทนเขาในวันข้างหน้า.

Frame 17-2

พระเจ้าเลือกชายหนุ่มอิสราเอลคนหนึ่งที่ชื่อ ดาวิด. เพื่อที่จะมาเป็นกษัตริย์แทนซาอูล. ดาวิด เป็นคนเลี้ยงแกะที่มาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม. หลายครั้งที่ ดาวิด เฝ้าดูแลแกะของพ่อเขา แล้วก็หลายครั้งที่ ดาวิด ได้ฆ่าสิงโต และ หมี ที่จะมากัดกินแกะของเขา. ดาวิดเป็นคนถ่อมตัวและก็เป็นคนชอบธรรมและวางใจเชื่อฟังพระเจ้า.

Frame 17-3

เมื่อ ดาวิด เติบโตขึ้นเขาได้เป็นทหารและผู้นำที่ดี. เมื่อดาวิด ยังนำเขาได้ต่อสู้กับคนร่างใหญ่ ชื่อว่า โกลีอัท. โกลีอัท เป็นยอดทหารที่แข็งแรงมากสูงเกือบ 3 เมตร. แต่พระเจ้าช่วยดาวิด ให้ฆ่าโกลีอัท และช่วยกู้ อิซราเอล. หลังจากนั้น ดาวิด ได้ชัยชนะศัตรู ของ อิซราเอล หลายครั้ง. จนทำให้คนอิสราเอลยกย่องเขา.

Frame 17-4

ซาอูล ก็เลยอิจฉาที่คนอิสราเอลรักและยกย่องดาวิด. เขาพยายามที่จะฆ่าดาวิดหลายครั้ง แต่ดาวิดได้หลบซ่อนจากกษัตริย์ ซาอูล. วันหนึ่ง ซาอูล มาหาดาวิดเพื่อจะฆ่าเขา ซาอูลเข้าไปในถ้ำที่ดาวิดหลบซ่อนอยู่. แต่ว่าซาอูลมองไม่เห็นเขาทั้งๆที่ดาวิดอยู่ไกล้ๆเพราะมืดมองไม่เห็น. ดาวิดมีโอกาสที่จะฆ่า ซาอูล แต่ว่าดาวิด ไม่ฆ่าเขา แต่ดาวิด ตัดเอาชายเสื้อเก็บไว้เป็นหลักฐาน. เพื่อให้ซาอูลรู้ว่าเขาไม่ต้องการที่จะฆ่าเขา และเป็นกษัตริย์แทนเขา.

Frame 17-5

ในที่สุดซาอูลก็ตายในสงครามและดาวิดก็มาเป็นกษัตริย์อิสราเอล. เขาเป็นกษัตริย์ที่ดีและประชาชนก็รักเขา. พระเจ้าอวยพรดาวิดและให้เขาประสบความสำเร็จ. ดาวิดสู้รบในสงครามหลายครั้ง พระเจ้าก็ช่วยเขาให้ชนะศัตรูของอิสราเอลทุกครั้ง. ดาวิดปราบ เยรูซาเล็มและทำให้เยรูวาเล็มเป็นเมืองใหญ่.ในระหว่างรัชกาลของดาวิด อิสราเอลมีอำนาจมากและร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ.

Frame 17-6

ดาวิด อยากจะสร้างพระวิหารเพื่อที่คนอิสราเอลทุกคนมานมัสการพระเจ้า และถวายเครื่องบูชแด่พระเจ้า.เมื่อประมาณ 400ปี ชนชาติอิสราเอลนมัสการพระเจ้าและถวายเครื่องบูชาที่เต็นนัดพบที่โมเสสได้สร้างไว้.

Frame 17-7

แต่พระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะ นาธาน ด้วยข่าวนี้ "เพราะเจ้าเป็นนักรบเจ้าจะไม่ได้สร้างพระวิหารนี้สำหรับเราแต่ลูกของเจ้าจะเป็นคนสร้าง. แต่เราจะอวยพรเจ้ามากมาย. เชื้อสายของเจ้าคนหนึ่งจะเป็นกษัตริย์ปกครองคนของเราตลอดไป". มีเพียงเชื้อสายของดาวิดคนเดียวที่จะมาปกครองตลอดนิรันคร์และจะเป็นพระเมสิยาห์. พระเมสิยาห์ผู้ซึ่งพระเจ้าส่งมาเพื่อให้คนทั้งโลกรอดจากบาปของพวกเขาและมีชีวิตใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า.

Frame 17-8

เมื่อดาวิดได้ยินคำนี้ทันใดนั้นเขาขอบคุณพระเจ้าและสรรเสริญพระเจ้า. เพราะว่าพระเจ้าได้สัญญาไว้ว่าจะให้เกียติดาวิดและอวยพรเขาหลายอย่าง. ดาวิดไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทำสิ่งนี้เมื่อไร. แต่คนอิสราเอลรอคอยพระเมสิยาห์ที่จะเสด็จมาเป็นระยะเวลามากกว่า1000ปี.

Frame 17-9

ดาวิด ปกครองชนชาติอิสราเอลด้วยความยุติธรรมด้วยความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้ามาหลายปี. แต่หลังจากอีกหลายปีต่อมาดาวิดได้ทำบาปที่เลวร้ายต่อพระเจ้า.

Frame 17-10

วันหนึ่ง เมื่อทหารของดาวิดทุกคนออกจากบ้านไปสู้รบในสงคราม. วันหนึ่งดาวิด มองออกไปข้างนอกเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่า บัทเชบา.

Frame 17-11

แทนที่ดาวิดจะมองไปทางอื่น แต่ดาวิดกลับใช้คนรับใช้ไปพาผู้หญิงมาให้เขาแล้วดาวิดก็ได้หลับนอนกับผู้หญิงคนนั้น. หลังจากนั้นดาวิดก็ได้ส่งผู้หญิงคนนั้นกลับบ้าน.อีกไม่นาน นางบัทเชบาส่งข่าวสารให้ดาวิดบอกว่า ฉันได้ตั้งท้องแล้วนะ.

Frame 17-12

มีชายคนหนึ่งชื่อว่า อุริอาห์ เป็นสามีของนาง บัทเชบา เขาเป็นทหารที่ดีมากของดาวิด แล้วดาวิด กลับไปเรียกให้เขากลับมาจากสงครามแล้วบอกเขาให้ไปหาภรรยาของเขา. แต่อุริอาห์ ปฎิเสธที่จะกลับบ้านในขณะที่ทหารของเขายังอยู่ในสงคราม. แล้วกษัตริย์ดาวิดก็ส่ง อุริอาห์ กลับไปที่สงครามอีกและบอกแม่ทัพใหญ่ว่า ให้ส่ง อุริอาห์ ไปที่สถานที่สู้รบเพื่อที่จะฆ่า อุริอาห์.

Frame 17-13

หลังจากที่ อุริอาห์ ตายดาวิดก็ได้แต่งงานกับ นางบัทเชบา ไม่นานนางบัทเชบาก็คลอดลูกชายคนหนึ่งให้กับดาวิด. พระเจ้าโกรธมากกับสิ่งที่ดาวิดทำแล้วพระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะ นาธาน มาบอกดาวิดถึงบาปที่ชั่วร้ายของเขา ดาวิดกลับใจจากบาปนั้น.แล้วดาวิดได้ดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าแม้ช่วงเวลาที่ลำบาก.

Frame 17-14

แต่การลงโทษบาปของดาวิดนั้น ลูกชายของเขาตาย และมีการทะเลาะกันภายในครอบครัวดาวิดตลอดชีวิตของเขา. แล้วอำนาจของดาวิดลดลงอย่างมาก. ถึงแม้ดาวิดจะไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อคำสัญญาของพระองค์. เวลาต่อมา ดาวิดกับนางบัทเชบาได้มีลูกชายอีกคนหนึ่งมีชื่อว่า โซโลมอน.

1 ซามูเอล 10 : 15-19 24-31 2 ซามูเอล 5:7 7:11-12

18. อาณาจักรที่แตกแยก

Frame 18-1

หลังจากที่ดาวิดตายหลายปีและลูกของดาวิกเริ่มปกครองประเทศอิสราเอล. พระเจ้าตรัสกับโซโลมอนและตรัสถามในสิ่งที่โซโลมอนต้องการมากที่สุด. เมื่อโซโลมอนขอสติปัญญาพระเจ้าทรงแล้วพระเจ้าก็ประทานให้เขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก. โซโลมอนได้เรียนรู้หลายสิ่งและเป็นผู้พิพากษาที่ฉลาดมากและพระเจ้าให้เขาเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุด.

Frame 18-2

ในกรุงเยรูซาเล็มโซโลมอนก็ได้สร้างพระวิหารซึ่งดาวิดบิดาของพระองค์ได้ทรงวางแผนไว้. และรวบรวมบรรดาวัสดุประชาชนขณะนั้นนมัสการพระเจ้าและถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์ในพระวิหารแทที่เต็นนัดพบ. แล้วพระเจ้าก็เสด็จมาประทับอยู่ในพระวิหารและพระองค์สถิตย์อยู่กับประชาชนของพระองค์ที่นั้น.

Frame 18-3

แต่โซโลมอนรักกับผู้หญิงเมืองอื่นเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าด้วยการแต่งงานกับผู้หญิงหลายคนมากกว่า 1000 คน. ผู้หญิงหลายคนเหล่านี้มาจากคนต่างชาติและได้นำเอาพระเจ้าของพวกเขามาด้วยและก็ยังนมัสการเรื่อยๆ. เมื่อโซโลมอนอายุมากแล้วเขาก็ยังนมัสการพระของพวกเขาอยู่.

Frame 18-4

พระเจ้าทรงพิโรจโซโลมอนและลงโทษที่ไม่ซื่อสัตย์ของโซโลมอน. และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะแบ่งแยกชนชาติอิสราเอลออกเป็น 2 อณาจักร หลังจากที่โซโลมอนตาย.

Frame 18-5

หลังจากที่โซโลมอนตายเรโหโบอัมราชโอรสของพระองค์ขึ้นมาเป็นกษัตริย์. แต่เรโหโบอัมเป็นคนเขราพลไพร่ทั้งปวงของชาติอิสราเอลมาชุมนุมกันเพื่อมายืนยันให้เขาเป็นกษัตริย์. พวกเขาบ่นกับเรโหโบอัมว่าโซโลมอนทำให้พวกเขาทำงานหนักและต้องเสียภาษีมากขึ้น.

Frame 18-6

เรโหโบอัม คนโง่เขราคนนั้นตอบพวกเขาว่า พวกท่านคิดว่าพ่อของเราทำให้พวกท่านทำงานหนัก. แต่เราจะทำให้พวกท่านทำงานหนักกว่า ที่พ่อของเราให้พวกท่านทำ. และเราจะลงโทษพวกท่านมากขึ้นรุนแรงกว่าที่พ่อของเราทำ.

Frame 18-7

10 เผ่าของชนชาติอิสราเอลได้กบฎต่อเรโหโบอัม. มีเพียง 2 เผ่าที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อเขา 2 เผ่านี้กลายมาเป็นอาณาจักรของ ยูดา.

Frame 18-8

สำหรับ 10 เผ่าที่ได้กบฏต่อเรโหโบอัม ได้แต่งตั้งชายคนหนึ่งชื่อ เยโรโบอัม ให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา. อาณาจักรของพวกเขาตั้งอยู่เหนือแผ่นดินแล้วเรียกว่าอาณาจักรของอิสราเอล.

Frame 18-9

เยโรโบอัม ได้กบฎต่อพระเจ้าเป็นสาเหตุที่ให้ประชาชนทำบาป. เขาได้สร้างรูปเคารพ 2 รูปเพื่อให้ประชาชนของเขากราบไว้แทนการนมัสการพระเจ้าในพระวิหารของอาณาจักร ยูดา.

Frame 18-10

อาณาจักร ยูดาและอาณาจักรอิสราเอลกลายเป็นศัตรูกันและมักจะต่อสู้กันอยู่เสมอ.

Frame 18-11

ในอาณาจักรใหม่ของอิสราเอล กษัตริย์ทั้งหมดเป็นคนชั่วร้าย. กษัตริย์หลายองค์ถูกสังหาร โดยคนอิสราเอลที่อยากจะเป็นกษัตริย์แทนเขา.

Frame 18-12

บรรดากษัตริย์และประชาชนส่วนใหญ่ของอาณาจักรอิสราเอลใหว้รูปเคารพ. การใหว้รูปเคารพของพวกเขามักจะมีความผิดศิลธรรมทางเพศและบางครั้งก็ใช้เด็กเป็นเครื่องบูชาด้วย.

Frame 18-13

กษัตริย์ของยูดาเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ ดาวิดบางองค์ก็เป็นกษัตริย์ที่ดีเป็นผู้นำที่เที่ยงธรรมและนมัสการพระเจ้า. แต่กษัตริย์ของยูดาส่วนมากเป็นคนชั่วร้ายเสื่อมทรามและใหว้รูปเคารพ. บางองค์ก็เสียสละลูกๆของพวกเขาเพื่อเทพเจ้าเทียมเท็จ. คนยูดาส่วนมากได้กบฎต่อพระเจ้าและใหว้พระอื่น.

19. ผู้เผยพระวจนะ

Frame 19-1

ตลอดประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล พระเจ้าสั่งผู้เผยพระวจนะ. ผู้เผยพระวจนะได้ยินข่าวสารจากพระเจ้า และได้บอกข่าวสารจากพระเจ้าแก่ชนชาติ.

Frame 19-2

เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะเมื่ออาหับเป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอล. อาหับเป็นคนชั่วร้ายเป็นผู้สงเสริมให้ชาวอิสราเอลกราบไหว้พระเทียมเท็จชื่อ บาอัล.เอลียาห์พูดกับกษัตริย์อาหับว่าฝนจะไม่ตกลงพื้นดินอิสราเอลจนกว่าข้าพระองค์จะอนุญาติ. กษัตริย์อาหับกริ้วมาก.

Frame 19-3

พระเจ้าบอกเอลียาห์ไปยังลำห้วยในถิ่นทุรกันดารเพื่อหลบซ่อนจากกษัตริย์. ผู้ที่ต้องการจะฆ่าเขาทุกๆเช้าและทุกๆเย็น. นกบินคาบขนมปังและเนื้อมาให้เขา กษัตริย์อาหับและทหารมพวกเขามองหาเอลียาห์แต่พวกเขาไม่พบเอลียาห์. ภัยแล้งอย่างรุนแรงจนนำ้ในลำห้วยแห้ง.

Frame 19-4

จากนั้น เอลียาห์ ก็ไปเมืองอื่นๆ ในเมืองนั้นมีหญิงม้ายกับลูกชายของเธอ. เมื่ออาหารเกือบจะหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ยังดูแลเอลียาห์. และพระเจ้าก็ประทานให้หม้อแป้งและขวดน้ำมันไม่เคยหมด. พวกเขามีอาหารตลอดขณะกันดารอาหาร เอลียาห์พักอยู่ที่นั้นอีกหลายปี.

Frame 19-5

หลังจากนั้น 3 ปีครึ่ง พระเจ้าบอกให้เอลียาห์ให้กลับไปยังแผ่นดินของอิสราเอล. ให้พูดกับกษัตริย์อาหับว่า. เพราะเราจะส่งฝนตกมาอีกครั้ง เมื่อกษัตริย์อาหับเห็นเอลียาห์ก็พูดว่า. นี้ไงท่านเป็นผู้สร้าความยุ่งยาก เอลียาห์ตอบว่าท่านนั้นและจะเป็นผู้ก่อสร้างความยุ่งยาก. ท่านได้ละทิ้งพระยาเวห์พระเจ้าเที่ยงแท้และกราบไหว้ บาอัล. นำชนชาติอิสราเอลทั้งหมดของอณาจักรอิสราเอลไปที่ภูเขาคาราเมล.

Frame 19-6

คนอิสราเอลทั้งหมดของอณาจักรอิสราเอล และอีก 450 คนเป็นผู้ทำนายของพระบาอัล มายังภูเขา คาเมล. เอลียาห์พูดกับคนอิสราเอลว่านานเท่าไร ท่านจะเปลี่ยนใจของท่าน. ถ้าพระยาเวห์คือพระเจ้าก็รับใช้ ถ้าพระบาอัลคือพระเจ้าก็รับใช้เขา.

Frame 19-7

แล้วเอลียาห์ก็พูดกับผู้พยากรณ์ของ พระบาอัล ไปหาวัวผู้ตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาแต่ไม่ต้องจุดไฟ. ส่วนเราก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน พระเจ้าของใครตอบด้วยไฟคือพระเจ้าแท้ แล้วผู้พยากรณ์ของพระบาอัลเตรียมเครื่องบูชาแต่ไม่จุดไฟ.

Frame 19-8

แล้วผู้พยากรณ์ของพระบาอัล ก็อธิฐานต่อ พระบาอัล นี้บาอัลเราอธิฐานตลอดทั้งวัน. พวกเราอธิฐานและตะโกนกรีดตัวเองด้วยมีดแต่ไม่มีคำตอบเลย.

Frame 19-9

วันนี้เกือบหมดเวลาของวันนี้แล้ว เอลียาห์เตรียมเครื่องบูชาของพระเจ้า. แล้วเขาบอกให้ประชาชนเอาน้ำในหม้อใหญ่ 12 หม้อเทลงบนเครื่องบูชาจนกว่าเนื้อและไม้รอบๆที่ดินพื้นแท่นบูชาจนเปียกทั้งหมด.

Frame 19-10

แล้วเอลียาห์ก็อธิฐานว่าพระเจ้าของอับราฮัมอิสอัคและยาโคบขอทรงโปรดสำแดงแก่ข้าพระองค์วันนี้ . ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ กับข้าพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้.

Frame 19-11

ทันใดนั้นไฟตกลงมาจากท้องฟ้าและเผ่าไหม้เนื้อและไม้หินสิ่งสกรปกแม้แต่น้ำที่อยู่รอบๆแท่นบูชานั้น. เมื่อประชาชนเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นพวกเขาก็กราบลงพื้นดินแล้วกล่าวว่ายาเวห์คือพระเจ้า.

Frame 19-12

แล้วเอลียาห์กล่าวว่าอย่าให้ผู้พยากรณ์หนีไปได้ดังนั้นประชาชนจึงจับผู้พยากรณ์ ของบาอัล. และพาพวกเขาออกจากที่นั้นและฆ่าพวกเขาตายทั้งหมด .

Frame 19-13

แล้วเอลียาห์ก็กราบทูลกษัตริย์อาหับว่าจง เสด็จกลับเมืองโดยเร็วเถิดเพราะฝนกำลังจะมาถึง. ไม่นานท้องฟ้าก็มืดลงและฝนก็เริ่มตกหนัก. พระยาเวห์ทรงยุติความแห้งแล้งและทรงพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้.

Frame 19-14

หลังจากเวลาของเอลียาห์หมดพระเจ้าทรงเลือกชายคนหนึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์. พระเจ้าทรงกระทำสิ่งมหัศจรรย์มากมายทางเอลีชา.หนึ่งในการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับอานามาน ผู้บัญชาการทหารผู้ซึ่งเป็นโรคผิวหนังอันน่าสยดสยอง. เขาได้ยินเอลีชาบอกให้อามานให้จุ่มตัวเองเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดน.

Frame 19-15

ตอนแรกนาอามานโกรธและจะไม่ทำเพราะดูเหมือนเป็นเรื่องโง่เขลา. แต่หลังจากนั้นเขาได้เปลี่ยนใจของเขาและจุ่มตัวเองเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดน. เมื่อเขาขึ้นมาครั้งสุดท้ายผิวหนังของเขาก็หายสนิท พระเจ้ารักษาเขา.

Frame 19-16

พระเจ้าทรงผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆหลายคน พวกเขาทุกคนบอกประชาชนหยุดใหว้รูปเคารพและเริ่มสำแดงความยุติธรรมและความเมตตาแก่ผู้อื่น. ผู้เผยพระวจนะเตือนประชาชนว่าหากพวกเขาไม่ได้หยุดทำสิ่งที่ชั่ว และเริ่มเชื่อฟังพระเจ้า แล้วพระองค์จะตัดสินพวกเขา ให้มีความรักและพระเจ้าลงโทษพวกเขา.

Frame 19-17

ส่วนมากประชาชนไม่เชื่อฟังพระเจ้า บ่อยครั้งที่พวกเขาทำพิดต่อผู้เผยพระวจนะและบางครั้งก็ฆ่าพวกเขา. ครั้งหนึ่งผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์และถูกทิ้งใว้ที่นั้นถึงตายเขาจมลงไปในโครนที่บ่อน้ำ. แต่แล้วกษัตริย์ก็ทรงมีพระเมตตาต่อเขาและสั่งให้ข้าราชการของพระองค์ดึงเยเรมีย์ออกจากบ่อน้ำแห้งก่อนที่เขาจะตาย.

Frame 19-18

ผู้เผยพระวจนะก็ยังคงพูดแทนพระเจ้าแม้ว่าคนเหล่านั้นจะเกลียดชังพวกเขา. พวกเขาเตือนประชาชนว่าพระเจ้าจะทำลายพวกเขาถ้าพวกเขาไม่กลับใจ. พวกเขาเตือนใจประชาชนเกี่ยวกับสัญญากับพระเจ้าว่าพระเมตสิยาห์จะเสด็จมาอีก.

20. การเนรเทศและการกลับมา

Frame 20-1

อาณาจักรอิสราเอลและอาณาจักรยูดาทั้งสองเมืองนี้ได้ทำบาปต่อพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ทำตามพระสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับพวกเขาที่ภูเขาซีนาย พระเจ้าได้ส่งผู้เผยพระวจนะไปตักเตือนพวกเขาให้กลับใจใหม่และนมัสการพระเจ้าอีกครั้งแต่ว่าพวกเขาก็ปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง

Frame 20-2

ดังนั้นพระเจ้าจึงทำโทษพวกเขาโดยการให้ศัตรูของพวกเขาฆ่าและทำลายพวกเขา อาณาจักรแอสซีเรียซึ่งเป็นอาณาจักรที่ทรงอำนาจพวกเขาเป็นชนชาติที่โหดร้าย คนพวกนี้เข้าทำลายอาณาจักรอิสราเอล คนแอสซีเรียได้ฆ่าคนในอาณาจักรอิสราเอลไปเป็นจำนวนมาก คนแอสซีเรียเอาทุกสิ่งที่เป็นของมีค่าไปหมดและเผาอาณาจักรไปอย่างมากมาย

Frame 20-3

คนแอสซีเรียได้รวบรวมผู้นำทั้งหมด,คนรวยและคนที่มีความสามารถจากอาณาจักรอิสราเอลและพาพวกเขาไปยังอาณาจักรแอสซีเรีย เหลือไว้เพียงคนที่ยากจนมากเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกฆ่าไว้ในอาณาจักรอิสราเอล

Frame 20-4

คนแอสซีเรียได้นำคนชาติอื่นมาอาศัยอยู่ในอาณาจักรที่เคยเป็นอาณาจักรอิสราเอล คนชาติอื่นนั้นได้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนขึ้นมาใหม่และได้แต่งงานกับคนอิสราเอลที่อยู่ที่นั้น ลูกหลานของคนอิสราเอลที่แต่งงานก้บคนต่างชาติอื่นนั้น มีชื่อว่า คนสะมาเรีย

Frame 20-5

คนในอาณาจักรยูดาได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ลงโทษคนในอาณาจักรอิสราเอลที่ไม่เชื่อพระเจ้าและไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่ว่าคนอิสราเอลก็ยังคงนมัสการรูปเคารพและรวมไปถึงพระอื่นๆของคานาอันอยู่ พระเจ้าจึงได้ส่งผู้เผยพระวจนะมาเตือนพวกเขาแต่ว่าพวกเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมฟัง

Frame 20-6

อีกหนึ่งร้อยปีหลังจากที่แอสซีเรียได้ทำลายอาณาจักรอิสราเอลพระเจ้าได้ส่งกษัตริย์เนบูคัสเนสซาซึ่งเป็นกษัตริย์ของคนบาบิโลนมาโจมตีอาณาจักรยูดา บาบิโลนเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจ กษัตริย์ของยูดาได้ตกลงเป็นทาสรับใช้กษัตริย์เนบูคัสเนสซาและได้ส่งส่วยให้เป็นจำนวนมากทุกปี

Frame 20-7

แต่หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปีกษัตริย์ของยูดาก็ได้ก่อกบฎต่อบาบิโลน ดังนั้นคนบาลิโลนจึงได้กลับมาโจมตีอาณาจักรยูดา พวกเขาเข้าครอบครองที่ดินในเมืองเยลูซาเล็ม ทำลายพระวิหารและเอาของมีค่าจากบ้านเรือนและวิหารไปทั้งหมด

Frame 20-8

การลงโทษที่กษัตริย์ยูดาได้รับที่ก่อกบฎก็คือ ทหารของเนบูคัสเนสซาฆ่าลูกชายของกษัตริย์ต่อหน้าเขาและทำให้เขาตาบอด หลังจากนั้นก็นำเขาเข้าคุกและขังลืมจนเสียชีวิตที่บาบิโลน

Frame 20-9

เนบูคัสเนสซาและทหารหารของเขาได้นำคนเกือบทั้งหมดจากอาณาจักรยูดาไปที่เมืองบาบิโลนแต่เหลือไว้เพียงคนยากจนที่สุดไว้ที่ดินแดนนั้นเพื่อเพาะปลูก นี้เป็นช่วงเวลาที่คนของพระเจ้าได้ถูกบังคับให้ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เรียกว่าการถูกเนรเทศ

Frame 20-10

ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทำโทษคนของพระองค์ที่พวกเขาทำบาปต่อพระองค์โดยให้พวกเขาถูกเนรเทศแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ลืมพระสัญญาของพระองค์ พระเจ้ายังคงดูแลพวกเขาต่อไปและพูดกับพวกเขาผ่านทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าสัญญาว่าอีกเจ็ดสิบปีพวกเขาจะได้กลับไปที่ดินแดนพันธสัญญาของพระเจ้าอีกครั้ง

Frame 20-11

เมื่อครบเจ็ดสิบปี ไซรัสซึ่งเป็นกษัตริย์ของเปอร์เซียรบชนะบาบิโลน ดังนั้นอาณาจักรเปอร์เซียจึงเข้าครอบครองอาณาจักรบาบิโลน คนอิสราเอลจึงมีชื่อใหม่ว่า คนยิว และคนส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ที่บาบิโบนตลอดชีวิตของเขามีแค่คนยิวอาวุโสไม่กี่คนเท่านั้นที่จำเกี่ยวกับแผ่นดินยูดาได้

Frame 20-12

อาณาจักรเปอร์เซียมีความเข้มแข็งมากแต่ว่าพวกเขาเปี่ยมด้วยความเมตตาต่อเมืองขึ้นของพวกเขา อีกไม่นานหลังจากที่ไซรัสได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เปอร์เซียก็ได้ออกคำสั่งว่าถ้าคนยิวคนไหนที่อยากจะออกจากเปอร์เซียและกลับไปยังยูดาก็สามารถทำได้ กษัตริย์ไซรัสยังได้ให้เงินเพื่อนำไปสร้าววิหารใหม่ด้วย ดังนั้นหลังจากเจ็ดสิบปีที่ที่ถูกเนรเทศ คนยิวกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งก็ได้กลับไปที่เมืองเยลูซาเล็มในอาณาจักรยูดา

Frame 20-13

เมื่อพวกเขามาถึงเมืองเยลูซาเล็ม พวกเขาก็สร้างวิหารขึ้นมาใหม่และก่อกำแพงไว้รอบเมือง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกปกครองด้วยคนชาติอื่นก็ตามแต่พวกเขาก็มีโอกาสอาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งพันธะสัญญาและได้นมัสการการพระเจ้าที่วิหารอีกครั้ง

เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ไบเบิล2พงศ์กษัตริย์17;24-25;2พงศาวดาร36; เอสรา1-10; เนหะมีย์ 1-13

21. พระเจ้าสัญญาเรื่องพระเมสสิยาห์

Frame 21-1

ตั้งแต่วาระก่อนการสร้างโลกนั้น พระเจ้าได้มีแผนการที่จะส่งพระเมสสิยาห์โดยผ่านเชื้อสายของอาดัมและเอวา พระองค์ได้สัญญาว่าจะให้พงศ์พันธ์ของเอวาทำให้หัวของงูหรือมารซาตานที่ได้หลอกลวงเอวานั้นแหลก พระสัญญานั้นได้เล็งถึงชัยชนะของพระเมสสิยาห์ที่อยู่เหนือมารซาตานอย่างสมบูรณ์

Frame 21-2

พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัมว่าคนทุกชนชาติทั้งโลกจะได้รับพรเพราะเขา พรนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อพระเมสสิยาห์ได้เสด็จมาในอนาคต ทุกสิ่งเป็นไปได้ในพระองค์เพื่อคนทุกชนชาติในโลกจะได้รับความรอด

Frame 21-3

พระเจ้าได้สัญญากับโมเสสว่าอนาคตที่จะมาถึงพระองค์จะให้มีผู้เผยพระวจนะอย่างโมเสสซึ่งเป็นอีกพระสัญญาหนึ่งที่เล็งถึงพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมา

Frame 21-4

พระเจ้าได้สัญญากับดาวิดว่าจะมีชายคนหนึ่งมาจากเชื้อสายของดาวิดและจะปกครองคนของพระเจ้าเยี่ยงกษัตริย์เป็นนิตย์ นั่นหมายถึงพระเมสสิยาห์จะมาจากลูกหลานของดาวิดนั่นเอง

Frame 21-5

โดยทางผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ พระเจ้าได้สัญญาว่าพระองค์จะให้พันธสัญญาใหม่ที่ไม่เหมือนกับพันธสัญญาที่พระองค์ได้ให้ไว้กับชนชาติอิสราเอลที่ภูเขาซีนาย พันธสัญญาใหม่นี้พระเจ้าได้เขียนกฎหมายของพระองค์ไว้ในดวงใจของคนของพระเจ้า คนเหล่านี้จะรู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว พวกเขาจะเป็นประชากรของพระองค์และพระเจ้าจะอภัยบาปผิดทั้งหมดของเขาทั้งหลาย และพระเมสสิยาห์จะเป็นผู้เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่นั้น

Frame 21-6

ผู้เผยพระวจนะหลายคนของพระเจ้านั้นได้เผยถึงพระเมสสิยาห์ว่าพระองค์เป็นทั้งมหาปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะและเป็นจอมกษัตริย์ ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งเป็นผู้ที่ได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าและประกาศพระคำของพระองค์แก่คนทุกคน พระเจ้าได้สัญญาว่าจะส่งพระเมสสิยาห์ผู้ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะที่สมบูรณ์

Frame 21-7

ปุโรหิตชาวอิสราเอลได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าเพื่อลบล้างบาปของคนทั้งหลายที่กระทำผิด ดังนั้นเขาทั้งหลายจะพ้นจากการลงโทษ ปุโรหิตยังได้อธิษฐานเผื่อคนทั้งหลายกับพระเจ้าอีกด้วย พระเมสสิยาห์จะเป็นมหาปุโรหิตที่สมบูรณ์แบบที่จะถวายพระองค์เองให้เป็นเครื่องบูชาที่ปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า

Frame 21-8

กษัตริย์เป็นใครบางคนที่ปกครองเหนืออาณาจักรและตัดสินการกระทำของคนที่อยู่ภายใต้เขา พระเมสสิยาห์เองจะเป็นจอมกษัตริย์อันสมบูรณ์พร้อมที่จะนั่งบนบัลลังค์ของกษัตริย์ดาวิดผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขา พระองค์จะปกครองทั่วแผ่นดินโลกเป็นนิจนิรันดร์และจะตัดสินอย่างชัดเจนและเที่ยงธรรม

Frame 21-9

ผู้เผยพระวจนะต่างๆของพระเจ้าได้มองเห็นถึงหลายสิ่งหลายล่วงหน้าอย่างเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ มาลาคีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งได้มองเห็นล่วงหน้าว่าจะมีผู้เผยพระวจนะผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งต้องมาก่อนที่พระเมสสิยาห์จะเสด็จมา อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้เล็งเห็นว่าพระเมสสิยาห์จะเกิดจากหญิงพรหมจารีย์ มีคาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึงว่าพระองค์จะถือกำเนิดในหมู่บ้านเบธเลเฮม

Frame 21-10

อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึงพระเมสสิยาห์จะอาศัยอยู่ในเมืองกาลิลี พระองค์จะปลอบประโลมบรรดาทุคคนที่มีใจแตกสลาย และประกาศอิสรภาพให้กับผู้ที่ตกเป็นทาสของความบาป เขาได้กล่าวว่าพระองค์จะรักษาคนป่วยให้หาย คนหูหนวกให้ได้ยิน คนใบ้ให้พูดได้ คนตาบอดได้มองเห็น และคนง่อยให้เดินได้

Frame 21-11

อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้เผยว่าผู้คนจะปฏิเสธและเกลียดชังพระเมสสิยาห์อย่างไม่มีเหตุผล ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆได้กล่าวล่วงหน้าว่าคนเหล่านั้นจะฆ่าพระองค์และจะทอดลูกเต๋าจับฉลากเอาฉลองพระองค์และสหายคนหนึ่งของพระองค์จะหักหลังพระองค์เสีย เศคาริยาห์ผู้เผยพระวจนะได้ทำนายว่าสหายของพระองค์คนหนึ่งจะขายพระองค์ด้วยเงินเพียง 30 เหรียญ

Frame 21-12

ผู้เผยะพระวจนะอื่นๆได้พูดถึงพระเมสสิยาห์ว่าพระองค์จะตาย อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวว่าคนจะถ่มน้ำลาย ทุบตีและเยาะเย้ยพระองค์เสีย พวกเขาจะแทงเข้าที่สีข้างของพระองค์และพระองค์จะตายอย่างเจ็บปวดและทรมานอย่างถึงที่สุดถึงแม้พระองค์จะไม่ได้กระทำผิดก็ตาม

Frame 21-13

ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายได้กล่าวถึงพระเมสสิยาห์ว่าพระองค์ปราศจากตำหนิและไม่มีบาปเลย พระองค์ได้ตายเพื่อรับโทษทัณฑ์เพราะบาปของเราทั้งหลาย การลงโทษของพระเจ้าจะนำมาถึงซึ่งการคืนดีของพระเจ้าและมนุษย์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าปรารถนาให้พระเมสสิยาห์ต้องแหลกสลาย

Frame 21-14

ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวล่วงหน้าว่าพระเมสสิยาห์ได้ตายและพระเจ้าจะทำให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์นั้น พระเจ้าได้ทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จในการช่วยคนบาปทั้งหลายให้รอดและได้เริ่มพันธสัญญาใหม่นั่นเอง

Frame 21-15

พระเจ้าได้เปิดเผยหลายสิ่งให้กับผู้เผยพระวจนะหลายคนถึงเรื่องของพระมาสสิยาห์แต่พระเมสสิยาห์ยังไม่ได้เสด็จมาในช่วงสมัยของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น เป็นเวลามากกว่า 400 ปีหลังจากที่มีการเผยพระวจนะและในเวลาอันเหมาะสมพระเจ้าได้ส่งพระเมสสิยาห์เข้ามาในโลกนี้แล้ว

เรื่องราวในพระคัมภีร์ จากพระธรรม ปฐมกาล 3:15; 12:1-3; เฉลยธรรมบุญญัติ 18:15; 2 ซามูเอล 7; เยเรมีย์ 31; อิสยาห์ 59:16; ดาเนียล 7; มาลาคี 4:5; อิสยาห์ 7:14; มีคาห์ 5:2; อิสยาห์ 9:1-7; 35:3-5; 61; 53; สดุดี 22:18; 35:19; 69:4; 41:9; ศักคารียาห์ 11:12-13; อิสยาห์ 50:6; สดุดี 16:10-11

22. การเกิดของยอนห์

Frame 22-1

ในอดีตพระเจ้าตรัสผ่านกับประชากรของพระองค์. ผ่านทูตสวรรค์และผู้เผนพระวจนะของพระองค์. แต่หลังจากนั้น 400 ปี พระองค์ไม่ได้ตรัสแก่พวกเขา. แล้วมีทูตสวรรค์มาพร้อมข่าวสารจากพระเจ้าถึงปุโรหิตอาวุโสชื่อ เศคาริยาห์และภรรยาของเขา เอลิซาเบธ. เอลิซาเบธเป็นคนชอบธรรมแต่เป็นหมันไม่สามารถมีลูกได้.

Frame 22-2

ทูตสวรรค์กล่าวแก่เศคาริยาห์ว่า ภรรยาของท่านจะมีบุตรชายคนหนึ่งให้ท่านตั้งชื่อว่า ยอนห์. เขาจะเต็มไปด้วยพระวิณญาณบริสุทธิ์และจงเตรียมประชากรสำหรับพระเมสสิยาห์. เศคาริยาห์ ตอบว่าภรรยาของข้าแก่เกินไปที่จะมีลูกข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น.

Frame 22-3

ทูตสวรรค์กล่าวแก่เศคาริยาห์ว่า เราส่งมาจากพระเจ้าเพื่อนำข่าวดีมาบอกท่านเพราะท่านไม่เชื่อเรา. ท่านจะไม่สามารถพูดได้จนกว่าเด็กนั้นจะครอด. ทันใดนั้นเศคาริยาห์เป็นไบ้พูดไม่ได้แล้วทูตสวรรค์ก็ไปจากเศคาริยาห์.

Frame 22-4

เมื่อเอลิซาเบธตั้งครรภ์ได้ 6 เดือนทูตสวรรค์องค์เดียวกันก็ปรากฎตัวกับญาติของ เอลิซาเบธ มีชื่อว่า มารี. เธอเป็นหญิงพรมจารี หมั้นกับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ. ทูตสวรรค์พูดว่า เธอจะตั้งครรภ์คลอดลูกชายคนหนึ่ง. ให้เธอตั้งชื่อว่า เยซู เด็กคนนี้จะเป็นลูกของพระเจ้าสูงสุดและจะปกครองตลอดกาล.

Frame 22-5

มารี ตอบว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรเนื่องจากฉันเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่. ทูตสวรรค์อธิบายว่าพระวิณญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาหาท่านและฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะปกคลุมท่าน. ดังนั้นเด็กน้อยจะเป็นผู้ยริสุทธิ์และเป็นบุตรของพระเจ้า. มารีเชื่อและยอมรับที่ทูตสวรรค์พูด.

Frame 22-6

หลังจากนั้นทูตสวรรค์พูดจบไมานานจากนั้นมารีเธอก็ไเยี่ยมเอลิซาเบธ. ทันทีที่เอลิซเบธได้ยินคำทักทายของมารี ลูกในท้องของ เอลิซาเบธ ก็ดิ้น. เธอทั้งสองมีความชื่นชมยินดีเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้ากระทำเพื่อพวกเขา. หลังจากมารีเยี่ยมเอลิซาเบธทั้งสองมีความชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้กับพวกเขา. จากนั้นมารีเยี่ยมเอลิซาเบธ 3 เดือน มารีก็กลับไปที่บ้าน.

Frame 22-7

หลังจากเอลิซาเบธคลอดลูกชายของ เศคาริยาห์และเอลิซาเบธตั้งชื่อเด็กนั้นว่า ยอนห์ ตามที่ทูตสวรรค์สั่ง. จากนั้นพระเจ้า อนุญาติให้ เศคาริยาห์พูดได้อีก เศคาริยาห์พูดสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงระลึกถึงประชากรของพระองค์. บุตรของเจ้าจะเป็นปุโรหิตชื่อว่าเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าสูงสุด. และจะเป็นผู้บอกชนชาติอิสราเอลพวกท่าน จะสามารถรับการอภัยบาปของตนได้อย่างไร.

23. การกำเนิดของพระเยซู

Frame 23-1

มารีย์ได้หมั้นหมายกับชายชอบธรรมคนหนึ่ง ชื่อว่า โยเซฟ เมื่อเขารู้ว่ามารีย์ตั้งครรห์ เขารู้ว่าทารกไม่ใช่ลูกของเขา เขาไม่ต้องการให้มารีย์ต้องอับอาย ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะถอนหมั้นอย่างเงียบๆ กับมารีย์ ก่อนที่เขาจะกระทำอย่างนั้น ฑูตสวรรค์ได้มาบอกกับเขาในความฝัน

Frame 23-2

ฑูตสวรรค์กล่าวว่า"โยเซฟอย่ากลัวเลยที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้า บุตรของเธอนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งให้ตั้งชื่อเขาว่า เยซู (หมายความว่า พระผู้ช่วยให้รอด)เพราะพระองค์จะทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากความบาปของพวกเขา"

Frame 23-3

ดังนั้นโยเซฟจึงแต่งงานกับมารีย์และรับเธอเข้าบ้านเพื่อมาเป็นภรรยาของเขา แต่เขาไม่ได้หลับนอนกับเธอ จนกระทั้งเธอให้กำเนิดบุตร (คลอดลูก)

Frame 23-4

เมื่อใกล้กำหนดที่มารีย์จะคลอด ผู้ปกครองโรมันได้ประกาศให้ทุกคนไปลงทะเบียนสำมะโนครัวยังบ้านเกิดที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยอาศัยอยู่ โยเซฟและมารีย์ได้เดินทางไกลจากที่พวกเขาอาศัยอยู่ในนาซาเร็ธไปยังเบธเลเฮม เพราะดาวิดบรรพบุรุษของพวกเขาบ้านเกิดนั้นอยู่ที่เบธเลเฮม

Frame 23-5

เมื่อพวกเขามาถึงเบธเลเฮม ที่นั้นไม่มีสถานที่พักให้กับพวกเขา ที่เดียวที่พวกเขาสามารถหาได้คือที่สัตว์อาศัยอยู่ พระบุตรก็ได้กำเนิดที่นั้นและมารดาของพระองค์ก็วางพระองค์ไว้ในรางหญ้าเลี้ยงสัตว์เพราะไม่มีที่นอนสำหรับพระองค์ พวกเขาตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู

Frame 23-6

ในคืนนั้นมีคนเลี้ยงแกะเฝ้าฝูงแกะของพวกเขาอยู่ในทุ่งหญ้า ในทันใดนั้นเองฑูตสวรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยความสว่างมาปรากฎแก่พวกเขา พวกเขาก็หวาดกลัวยิ่งนัก ฑูตสวรรค์จึงกล่าวว่า"อย่ากลัวเลยเพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย พระเมสิยาห์ จอมเจ้านาย ได้มาบังเกิดแล้วที่เบธเลเฮม"

Frame 23-7

"จงไปหาพระบุตรและพวกเจ้าจะพบพระองค์ถูกพันด้วยผ้าและวางไว้ในรางหญ้าเลี้ยงสัตว์" ทันใดนั้นเองท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเหล่าฑูตสวรรค์สรรเสริญพระเจ้าว่า "พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์ ส่วนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีแก่ผู้ที่พระองค์โปรดปราน"

Frame 23-8

ไม่นานเหล่าคนเลี้ยงแกะก็มาถึงสถานที่ที่พระเยซูอยู่ และพวกเขาพบพระองค์วางไว้ในรางหญ้าเลี้ยงสัตว์ เป็นไปตามที่ฑูตสวรรค์ได้บอกพวกเขาไว้ พวกเขาจึงตื่นเต้นมาก มารีย์ก็มีความสุขด้วยเช่นกัน เหล่าคนเลี้ยงแกะได้กลับไปยังทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะของพวกเขาแล้วสรรเสริญพระเจ้าสำหรับทุกอย่างที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น

Frame 23-9

ในเวลาต่อมาเหล่าโหราจารย์จากเมืองไกลทางทิศตะวันออกได้เห็นดาวประหลาดบนท้องฟ้า พวกเขาจึงรู้แล้วว่ามันหมายถึงกษัตริย์องชาวยิวได้มาบังเกิดแล้ว พวกเขาจึงได้รู้แล้วว่ามันหมายถึงกษัตริย์ของชาวยิวได้มาบังเกิดแล้ว พวกเขาได้เดินทางมาไกลมากเพื่อมาพบกษัตริย์องค์นี้ เมื่อพวกเขามาถึงเบธเลเฮมจึงหาบ้านหลังที่พระเยซูและบิดามารดาของพระองค์พักอาศัยอยู่

Frame 23-10

เมื่อเหล่าโหราจารย์ได้พบพระเยซูกับมารดาของพระองค์ พวกเขาจึงก้มกราบลงและนมัสการพระองค์ พวกเขานำของขวัญที่มีราคาแพงมาให้พระเยซูแล้วพวกเขาก็เดินทางกลับบ้านไป

เรื่องราวจากพระคัมภีร์ในพระธรรมมัทธิว 1 ; ลูกา 2

24. ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพระเยซู

Frame 24-1

ยอห์นลูกของเศคาริยาห์กับเอลีซาเบธ. เติบโตขึ้นก็เป็นผู้เผยพระวจนะเขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร. กินน้ำผึ้งป่าและตักแตนเป็นอาหารและสวมเสื้อผ้าที่ทำกับขนอูฐ.

Frame 24-2

คนมากมายออกมาจากถิ่นทุรกันดารไปหายอห์น. เขาสั่งสอนพวกเขาบอกว่า "จงกลับใจ เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าใกล้มาแล้ว.

Frame 24-3

เมื่อผู้คนได้ยินข่าวของยอห์นหลายคนกลับใจจากบาปของพวกเขา. และยอห์นก็ให้บัพติศมาแก่พวกเขา. ผู้นำที่เคร่งศาสนาหลายคนก็มาให้ยอห์นรับบัพติศมาให้. แต่พวกเขาไม่กลับใจและรับสารภาพจากบาปของพวกเขา.

Frame 24-4

ยอห์นบอกผู้เคร่งศาสนานั้นว่าเจ้างูร้ายจงกลับใจและเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านเสีย. ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ออกผลดีจะต้องถูกตัดและถูกโยนลงไปในไฟ. ยอห์นได้ปฎิบัติตามอย่างผู้เผยพระวจนะที่ได้กล่าวไว้ว่า. ดูเถิดเราส่งผู้เผยพระวจนะไปข้างหน้าท่าน ผู้ซึ่งเตรียมทางให้แก่ท่าน.

Frame 24-5

ยิวบางคนถามยอห์นว่าท่านเป็นพระเมสิยาห์. ยอห์นตอบว่าเราไม่ใช่เป็นพระเมสิยาห์ แต่จะมีผู้หนึ่งจะมาภายหลังเรา ผู้ซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เราไม่คู่ควรแม้จะแก้สายรองเท้าของท่าน.

Frame 24-6

วันรุ่งขึ้นพระเยซูทรงรับบัพติศมากับยอห์นเมื่อยอห์นเห็นพระองค์ก็พูดว่าจงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ซึ่งจะยกเอาบาปของโลกไปเสีย.

Frame 24-7

ยอห์นพูดกับพระเยซูว่าข้าพเจ้าไม่สมควรที่ให้บัพติศมาแก่ท่าน. ท่านต่างหากควรจะให้บัพติศมาแก่ข้าพเจ้าแทน แต่พระเยซูตรัสว่าท่านควรให้บัพติศมาแก่เรา เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ท่านจะต้องทำ แล้วยอห์นก็ให้บัพติศมาแก่พระเยซู. แม้ว่าพระองค์ไม่เคยทำบาปก็ตาม.

Frame 24-8

เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากน้ำหลังจากรับ บัพติศมาแล้วพระวิญญาณของพระเจ้าปรากฎเหมือนนกพิราบลงมาบนพระองค์. ในเวลาเดียวกันนั้นพระสุรเสียงพระเจ้าตรัสว่า ท่านเป็นบุตรที่รักของเราเราพอใจท่านมาก.

Frame 24-9

พระเจ้าตรัสกับยอห์นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาและสถิตกับบางคนที่ท่านให้ บัพติศมา. บุคคลนั้นเป็นบุตรของพระเจ้ามีเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นแต่เมื่อยอห์นให้บัพติศมาแก่พระเยซูแล้ว. เขาได้ยินพระเจ้าพระบิดาตรัส

25. พระเยซูเข้าสู่การทดลอง

Frame 25-1

หลังจากที่พระเยซูได้รับบัพติสมาแล้ว ทันใดนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าได้นำพระองค์เข้าสู่ถิ่นทุรกันดารและพระองค์ได้อดอาหารเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนและในเวลานั้นเองมารซาตานได้เข้ามาทดลองพระองค์ให้ทำบาป

Frame 25-2

มันกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด จงเปลี่ยนก้อนหินนี้ให้เป็นขนมปังแล้วกินเสีย”

Frame 25-3

พระเยซูตอบว่า “ในพระวจนะคำของพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่ต้องบริโภคทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

Frame 25-4

แล้วมารซาตานได้นำพระเยซูไปบนยอดพระวิหาร และกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด จงกระโดดลงไป เพราะในพระวจนะของพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า พระเจ้าจะสั่งให้ทูตสวรรค์รองรับท่านเสีย แม้แต่ปลายเท้าของท่านก็จะไม่ได้รับความกระเทือน”

Frame 25-5

แล้วพระเยซูได้ใช้ถ้อยคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ในพระวจนะของพระเจ้า พระองค์สั่งคนของพระองค์ว่า อย่าทดลองพระเจ้าของเจ้า’

Frame 25-6

หลังจากนั้นมารซาตานได้สำแดงอาณาจักรทั้งหมดและความรุ่งโรจน์ที่มีในโลกนี้กับพระเยซู และกล่าวว่า “ถ้าท่านกราบนมัสการข้า ข้าจะให้ทุกอย่างกับท่าน”

Frame 25-7

“ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ไอ้ซาตาน ในพระวจนะคำของพระเจ้า พระองค์ได้สั่งคนของพระองค์ว่า จงนมัสการพระเจ้าเดียวของเจ้าและรับใช้พระองค์เดียวเท่านั้น”

Frame 25-8

เพราะว่าพระเยซูไม่ตอบสนองในการทดลองมารซาตาน แล้วมันได้ละทิ้งพระองค์ไปเสีย แล้วทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์

เรื่องราวจากพระคัมภีร์ พระธรรมมัทธิว 4:1-11; พระธรรมมาระโก 1:12-13; พระธรรมลูกา 4:1-13

26. พระเยซูเริ่มพระราชกิจของพระองค์

Frame 26-1

หลังจากที่พระเยซูได้ชนะการล่อลวงของมาร พระเยซูก็ได้กลับไปยังดินแดนกาลิลีที่ที่พระองค์เคยอาศัยอยู่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูเดินทางไปสั่งสอนที่นั้นที่นี้ ทุกคนที่นั้นก็พูดถึงพระองค์ในทางที่ดี

Frame 26-2

พระเยซูเดินทางไปเมืองนาซาเร็ธที่ที่พระองค์ได้อาศัยอยู่เมื่อเป็นเด็ก ในวันสะบาโตพระองค์ได้เดินทางไปที่สถานนมัสการพระเจ้า พวกเขาส่งหนังสือม้วนของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ให้พระองค์อ่าน พระเยซูได้เปิดหนังสือม้วนออกและอ่านตอนหนึ่งให้คนฟัง

Frame 26-3

พระเยซูอ่านว่า "พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เราเพื่อที่เราจะได้ป่าวประกาศข่าวดีให้แก่คนยากจน,อิสรภาพให้นักโทษ,ให้คนตาบอดได้มองเห็นและปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ นี้เป็นปีที่พระเจ้าพอพระทัย

Frame 26-4

จากนั้นพระเยซูได้นั่งลง ทุกคนเข้ามาใกล้ๆ และตั้งใจฟังพระองค์ พวกเขารู้ว่าข้อความในบทนั้นที่พระเยซูเพิ่งอ่านนั้นหมายความถึงพระเมสิยาห์ พระเยซูกล่าวว่า "ถ้อยคำที่เราได้อ่านให้พวกท่านฟังนั้นกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้แล้ว" คนเหล่านั้นทั้งหมดก็ประหลาดใจ พวกเขาพูดว่า "เขาคือลูกชายของ โยเซฟไม่ใช่หรือ"

Frame 26-5

จากนั้นพระเยซูกล่าวว่า "เป็นความจริงที่ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าจะไม่ได้รับการยอมรับในเมืองของเขา" ในสมัยของผู้เผยพระวจนะเอลียาห์มีแม่ม่ายมากมายหลายคนในอิสราเอล แต่ว่าฝนไม่ตกเลยเป็นเวลาสามปีครึ่ง,พระเจ้าไม่ได้ส่งเอลียาห์ไปช่วยแม่ม่ายคนอิสราเอลเลย แต่ว่าอิสยาห์ได้ช่วยเหลือแม่ม่ายชาติอื่นๆ แทน"

Frame 26-6

พระเยซูยังคงพูดต่อไปอีกว่า "และในสมัยของผู้เผยพระวจนะเอลีชาก็มีคนป่วยเป็นโรคผิวหนังหลายๆคนที่อิสราเอลแต่เอลีชาก็ไม่ได้รักษาพวกเขาเลยสักคน เอลีชาได้รักษาคนที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ นาอามานซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารของศัตรูอิสราเอล" คนที่กำลังฟังพระเยซูอยู่นั้นเป็นคนยิว ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินพระเยซูกล่าวแบบนั้นพวกเขาจึงรู้สึกโกรธมากๆ

Frame 26-7

คนในเมืองนาซาเร็ธฉุดลากพระเยซูออกจากสถานที่นมัสการนั้นและนำพระองค์ไปยังที่ขอบหน้าผาเพื่อจะผลักพระองค์ลงไปจะได้ฆ่าพระองค์เสีย แต่พระเยซูได้เดินผ่านฝูงชนนั้นและออกจากเมืองนาซาเร็ธไป

Frame 26-8

จากนั้นพระเยซูได้ไปทั่วแถบกาลิลี มีฝูงคนจำนวนมากมาหาพระองค์ พวกเขาได้พาคนที่เจ็บป่วยหรือพิการ รวมไปถึงคนที่ตามองไม่เห็น คนเดินไม่ได้ คนที่หูหนวก คนเป็นใบ้พูดไม่ได้ และพระเยซูทรงรักษาพวกเขา

Frame 26-9

มีคนพาคนถูกผีเข้าหลายคนมาหาพระเยซู เมื่อพระเยซูสั่งผีนั้นก็ออกมาจากคนเหล่านั้น และผีเหล่านั้นมักจะร้องว่า "ท่านเป็นลูกชายของพระเจ้า!" กลุ่มคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ได้เห็นก็ประหลาดใจและนมัสการพระเจ้า

Frame 26-10

จากนั้นพระเยซูได้เลือกผู้ชายสิบสองคนและเรียกพวกเขาว่าสาวกของพระเยซูคริสต์ เหล่าสาวกได้เดินทางไปกับพระเยซูและได้เรียนรู้จากพระองค์

เรื่องจากพระคัมภีร์ไบเบิล มัทธิว4:12-25; มาระโก 1:14-15,35-39,3:13-21 ลูกา 4:14-30,38-44

27. เรื่องของชาวสะมาเรียผู้แสนดี

Frame 27-1

อยู่มาวันหนึ่งมีอาจาย์ชาวยิวผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายได้มาหาพระเยซูเพื่อที่จะทดสอบพระองค์ เขาได้พูดขึ้นว่า "อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรถึงจะได้มีชีวิตนิรนดร์"พระเยซูตรัสตอบว่า "แล้วในกฎหมายของพระเจ้าวเขียนไว้ว่าอย่างไร"

Frame 27-2

"ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายนั้นได้ตอบว่ากฎหมายของพระเจ้าได้กล่าวว่า"จงรักพระเจ้าจอมเจ้านายของเจ้าด้วยสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลังและสุดความคิดของเจ้า และรักเพื่อนบ้านเหมือรักตนเอง"พระเยซูตรัสตอบว่า"ท่านพูดถูกต้องแล้ว จงทำอย่างนี้และท่านจะมีชีวิตอยู่"

Frame 27-3

แต่ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายต้องการที่จะพิสูจน์ว่าเขาเองเป็นคนชอบธรรม ดังนั้นเขาได้ถามต่อไปว่า "แล้วใครเป็นเพื่อบ้านของข้าพเจ้าหรือ"

Frame 27-4

"พระเยซูได้ตอบกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายผ่านการเล่าเรื่องหนึ่ง ดังนี้ "มีคนยิวหนึ่งได้เดินทางไปตามถนนจากกรุงเยรูซาเล็มมุ่งหน้าสู่เมืองเยรีโค"

Frame 27-5

ในขณะที่ชายคนนั้นได้กำลังเดินทางอยู่ เขาถูกโจมตีจากกองโจรกลุ่มหนึ่ง พวกเขาได้เอาทุกสิ่อย่างที่ชายคนนั้นมีและทุบตีเขาจนปางตายแล้วจึงหนีไป "

Frame 27-6

หลังจากนั้นในไม่ช้า ปุโรหิตชาวยิวคนหนึ่งได้ใช้เส้นทางเดียวกันนั้นเดินมาใกล้ เมื่อผู้นำทางศาสนาคนนี้ได้เห็นชานคนนั้นที่ถูกปล้นและทุบตี เขาเลี่ยงใช้เส้นทางอื่น เผิกเฉยกับชายคนนั้นที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือและเดินทางต่อไปตามทางของตน "

Frame 27-7

"หลังจากนั้นไม่นานนัก มีเลวีคนหนึ่งได้เดิมทางลงมาตาทางเดียวกันนี้ เลวีคือคนยิวเผ่าหนึ่งที่ทำงานช่วยปุโรหิตที่พรวิหาร เลวีนั้นได้ข้ามผ่านไปยังถนนอีกด้านหนึ่งและเผิกเฉยชายที่โดนปล้นและทำร้ายคนนั้น "

Frame 27-8

"คนถัดมาเป็นชาวสะมาเรียผู้หนึ่งได้เดินทางในเส้นทางเดียวกันนี้ ชาวสะมาเรียเป็นเชื้อสายชาวยิวที่ได้แต่งงานกับคนต่างเชื้อชาติ ชาวสะมาเรียและชาวยิวต่างเกลียดกัน แต่เมื่อชาวสะมาเรียได้พูดกับชายเชื้อสายยิวนั้น เขามีความเห็นอกเห็นใจชายที่ถูกปล้นยิ่งหนัก ดังนั้นเขาจึงดูแลชายคนนั้นและพันแผลให้กับเขา "

Frame 27-9

"ชาวสะมาเรียคนนั้นจึงได้ยกเขาขึ้นบนหลังลาของเขาและพาเขาไปที่โรงแรมข้างถนนแห่งหนึ่งที่เขาสามารถดูแลชายคนนั้นได้ "

Frame 27-10

"'วันต่อมา ชาวสะมาเรียจำต้องเดินทางต่อไป เขาจึงให้เงินจำนวนหนึ่งกับพนักงานที่ดูแลโรงแรมนั้นและกล่าวว่า 'จงดูแลชายคนนั้นและถ้าท่านใช้จ่ายมากกว่าที่ข้าพเจ้าให้ไว้นี้ ข้าพเจ้าจะกลับมาชำระทั้งหมดในวันที่ข้าพเจ้ากลับมา' "

Frame 27-11

ดังนั้นพระเยซูได้ถามผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายว่า 'ท่านคิดว่าอย่างไรหรือ ระหว่างชายสามคนนี้ใครคือเพื่อนบ้านของชายที่ถูกปล้นและถูกทุบตี' เขาตอบว่า 'คนที่มีเมตตาต่อชายคนนั้นเจ้าข้า' พระเยซูได้บอกกับชายคนนั้นว่า 'ท่านไปได้แล้วและจงทำเช่นเดียวกันนี้' "

เรื่องเล่าในพระคัมภีร์ จากพระธรรมลูกา 10:25-37

28. ผู้ปกครองหนุ่มผู้ร่ำรวย

Frame 28-1

วันหนึ่งผู้ปกครองหนุ่มผู้ร่ำรวยหามาพระเยซูและถามพระองค์ว่า "พระอาจารย์ผู้ประเสริฐ ผมจะทำยังไงเพื่อให้ได้มีชีวิตนิรันดร์" พระเยซูตอบชายคนนั้นว่า " ทำไมท่านเรียกข้าผู้ประเสริฐ มีผู้เดียวเท่านั้นที่ประเสริฐและผู้นั้นคือพระเจ้า แต่ถ้าท่านอยากมีชีวิตนิรันดร์ท่านต้องเชื่อฟังกฎของพระเจ้า"

Frame 28-2

เขาถามพระเยซูว่า "กฎข้อไหนที่ผมต้องเชื่อฟังบ้างครับ"พระเยซูตอบว่า" อย่าฆ่าคน, อย่าคบชู้, อย่าขโมย, อย่าโกหก, ให้เกียรติพ่อแม่ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง"

Frame 28-3

แต่ชายหนุ่มคนนั้นพูดว่า "ผมได้เชื่อฟังกฎทั้งหมดนั้นตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กเล็กๆ แล้ว ผมยังต้องทำตามคำสั่งอะไรอีกเพื่อให้ได้มีชีวิตนิรันดร์อีกหรือ" พระเยซูมองดูเขาด้วยความรัก

Frame 28-4

พระเยซูตอบว่า "ถ้าท่านอยากให้สมบูรณ์ทุกประการท่านต้องไปขายทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมีและเอาเงินนั้นให้คนยากจนและท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา"

Frame 28-5

เมื่อชายหนุ่มได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้นเขาจึงรู้สึกเศร้าเพราะว่าเขารวยมากและไม่อยากให้ทรัพย์สมบัติของเขาแก่คนอื่น เขาจึงได้เดินจากพระเยซูไป

Frame 28-6

จากนั้นพระเยซูได้บอกกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า" เป็นการยากจริงๆที่คนรวยจะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า! และการที่อูฐจะรอดรูเข็มก็ง่ายกว่าที่คนรวยจะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า"

Frame 28-7

เมื่อเหล่าสาวกได้ยินพระเยซูบอกแบบนั้น พวกเขาก็ตกใจและพูดว่า"แล้วใครจะได้รับความรอดเล่า"

Frame 28-8

พระเยซูมองไปที่เหล่าสาวกและพูดว่า"สำหรับมนุษย์แล้วสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้แต่สำหรับพระเจ้าแล้วพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง"

Frame 28-9

เปรโตบอกพระเยซูว่า"พวกเราละทิ้งทุกอย่างแล้วติดตามพระองค์มา แล้วพวกเราจะได้รับรางวัลอะไร"

Frame 28-10

พระเยซูตอบว่า"ใครก็ตามที่ละทิ้งบ้านเรือนของตน,พี่น้อง,พ่อ,แม่,ลูกๆหรือทรัพย์สมบัติของเขาในนามของเรา เขาจะได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเป็น100 เท่าและจะได้รับชีวิตนิรันดร์ด้วย แต่ว่าคนต้นจะเปลี่ยนเป็นคนปลายและคนปลายจะกลายเป็นคนต้น"

เรื่องราวจากพระคัมภีร์ มัทธิว 19:16-30 มาระโก 10:17-31 ลูกา 18:18-30

29. คนรับใช้ผู้ไม่ยอมให้อภัย

Frame 29-1

วันหนึ่งเปโตรได้ถามพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องอภัยพี่น้องผู้ที่ทำผิดต่อข้าพเจ้าสักกี่ครั้ง จำเป็นไหมที่จะต้องอภัยให้ถึงเจ็ดครั้ง ” พระเยซูตรัสว่า “ไม่ใช่แค่เจ็ดครั้ง แต่เป็นเจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด” “นั่นหมายความว่าเราจะต้องอภัยให้คนที่ทำผิดกับเรานั้นตลอดเวลา” พระเยซูได้อธิบาย

Frame 29-2

พระเยซูจึงเล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมา เรื่องมีดังต่อไปนี้ “ในอาณาจักรของพระเจ้าก็เปรียบเสมือนกษัตริย์องค์หนึ่งผู้ซึ่งต้องการที่จะจัดการเรื่องการชำระหนี้กับทาสทั้งหลายของพระองค์ มีทาสคนหนึ่งของพระองค์ได้เป็นหนี้มากมายมหาศาลเทียบเท่ากับต้องทำงานใช้หนี้สองแสนปีถึงจะปลดหนี้ได้”

Frame 29-3

กษัตริย์ได้รับสั่งต่อไปว่า “ตั้งแต่ข้าทาสคนนั้นยังไม่ได้ชำระหนี้อะไรเลย จงขายชายผู้นี้และครอบครัวของเข้าให้ไปเป็นทาสเสีย ดังนั้นเจ้าถึงจะชำระหนี้ได้”

Frame 29-4

“ทาสคนนั้นจึงได้คุกเข่าลงต่อหน้ากษัตริย์พระองค์นั้นและกล่าวว่าได้โปรดอดทนกับข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะจ่ายหนี้ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ติดพระองค์ไว้”ดังนั้นกษัตริย์จึงรู้สึกสงสารทาสคนนั้น และลบล้างหนี้ที่เขามีอยู่นั้นให้หมดสิ้นไปและอนุญาตให้เขาเป็นอิสระ

Frame 29-5

“แต่เมื่อทาสนั้นได้ไปพ้นจากพระพักตร์ของกษัตริย์แล้ว เราได้ไปหาเพื่อนทาสด้วยกันที่ติดหนี้เขาอยู่ซึ่งเทียบได้กับต้องทำงานใช้หนี้เป็นเวลาถึงสี่เดือนถึงจะปลดหนี้หมดได้ ทาสคนนั้นจึงได้เขย่าเพื่อนทาสอีกคนและกล่าวว่า จงชำระหนี้เงินที่เจ้าติดเรามาสะโดยดี”

Frame 29-6

“ดังนั้นเพื่อนทาสคนนั้นได้คุกเข้าลงขอความเมตตาและกล่าวว่า ‘ได้โปรดอดทนกับข้าพเจ้าก่อน แล้วข้าพเจ้าจะจ่ายหนี้ทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าติดท่านอยู่นั้นให้หมด’ แทนที่ทาสนั้นจะปล่อยเพื่อนท่านด้วยกัน เขากลับโยนเพื่อนทาสด้วยกันเข้าคุกจนกว่าเขาจะจ่ายหนี้ให้หมดได้”

Frame 29-7

“เมื่อทาสบางคนได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเขาจึงรู้สึกหวั่นใจนัก ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงไปร้องเรียนกษัตริย์และเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระองค์ฟัง”

Frame 29-8

“แล้วกษัตริย์ได้เรียกทาสนั้นเขาเฝ้าพระองค์และตรัสกับเขาว่า เราได้ยกหนี้ทั้งสิ้นให้กับเจ้าแล้วเพราะเจ้าได้ร้องขอจากเรา ฉะนั้นเจ้าควรจะตามเช่นเราได้ทำ กษัตริย์โกรธมากและพระองค์ได้จับทาสผู้ชั่วร้ายนั้นโยนในที่ขุมขังเสียจนกว่าเขาจะจ่ายหนี้ทั้งหมดที่เขาได้ค้างไว้ให้หมดสิ้นไป”

Frame 29-9

แล้วพระเยซูได้กล่าวว่า พระบิดาในสวรรค์ก็เช่นกัน พระองค์จะตัดสินทุกคนในพวกท่านถ้าท่านทั้งหลายไม่ยอมให้อภัยพี่น้องท่านด้วยน้ำใสใจจริง

เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ ในพระธรรม มัทธิว 18:21-35

30. พระเยซูเลี้ยงฝูงชนห้าพันคน

Frame 30-1

พระเยซูส่งสาวกไปเทศนาและสั่งสอนในหลายหมู่บ้าน เมื่อพวกเขากลับมายังสถานที่ที่พระเยซูอยู่ พวกเขาได้บอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ พระเยซูจึงชวนพวกเขาให้ไปยังสถานที่เงียบสงบอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบเพื่อพักผ่อน ดังนั้น พวกเขาก็ได้ขึ้นเรือและข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ

Frame 30-2

แต่คนมากมายเห็นว่าพระเยซูและสาวกนั่งเรือออกไป คนเหล่านี้จึงได้วิ่งไปตามตลิ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบก่อนหน้าพวกเขา ดังนั้น เมื่อพระเยซูและสาวกไปถึง ฝูงชนกลุ่มใหญ่ก็ได้รอพวกเขาอยู่ที่นั่นแล้ว

Frame 30-3

ฝูงชนเป็นผู้ชายจำนวนมากกว่าห้าพันคนไม่รวมผู้หญิงและเด็ก พระเยซูรู้สึกสงสารพวกเขา สำหรับพระเยซู คนเหล่านี้เป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง ดังนั้น พระองค์จึงสั่งสอนฝูงชนและรักษาคนที่เจ็บป่วยท่ามกลางพวกเขา

Frame 30-4

ตอนเย็นของวันนั้น สาวกบอกกับพระเยซูว่า “เป็นเวลาเย็นแล้ว และไม่มีเมืองใกล้เคียงอยู่ละแวกนี้ ให้เราปล่อยประชาชนออกไปเพื่อที่พวกเขาจะหาของรับประทานได้”

Frame 30-5

แต่พระเยซูกล่าวกับสาวกว่า “เจ้าจงเลี้ยงดูพวกเขา” สาวกตอบว่า “เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? เพราะเรามีเพียงแค่ขนมปังห้าก้อนและปลาตัวเล็กๆสองตัวเท่านั้น”

Frame 30-6

พระเยซูบอกให้สาวกบอกกับฝูงชนว่าให้นั่งลงบนทุ่งหญ้าเป็นกลุ่ม กลุ่มละห้าสิบคน

Frame 30-7

พระเยซูรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา มองขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์และขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร

Frame 30-8

จากนั้นพระเยซูหักขนมปังและปลาออกเป็นชิ้นๆ พระองค์ก็ได้มอบให้สาวกนำไปให้กับประชาชน สาวกส่งอาหารออกไปอย่างต่อเนื่องและมันก็ไม่มีหมด! ทุกคนได้รับประทานและมีความพึงพอใจ

Frame 30-9

หลังจากนั้น สาวกได้รวบรวมอาหารที่เหลือจากการรับประทานและมันนับได้เป็นจำนวนสิบสองตะกร้าเต็มๆ อาหารทั้งหมดเหล่านี้มาจากขนมปังห้าก้อนและปลาตัวเล็กๆสองตัว

เรื่องราวในพระคริสตธรรมคัมภีร์จาก: มัทธิว 14:13‒21; มาระโก 6:31‒44; ลูกา 9:10‒17; ยอห์น 6:5‒15

31. พระเยซูทรงเดินบนน้ำ

Frame 31-1

แล้วพระเยซูได้กล่าวกับสาวกทั้งหลายให้ขึ้นไปบนเรือและแล่นไปยังชายฝั่งอีกด้านหนึ่งในขณะที่พระองค์ได้หลบออกจากฝูงชน ภายหลังพระเยซูได้ส่งฝูงคนเหล่านั้นออกไปพระองค์ได้ขึ้นไปยังภูเขาอีกด้านหนึ่งเพื่ออธิษฐานพระเยซูได้อยู่ที่นั่นแต่เพียงผู้เดียวและพระองค์ได้อธิษฐานที่นั้นคืนยันรุ่ง

Frame 31-2

ในขณะที่เหล่าสาวกกำลังภายเรืออยู่นั้น พวกเขาได้อยู่ตรงกลางทะเลพวกเขาได้พายเรือด้วยความยากลำบากเนื่องจากลมพัดพาดผ่านอย่างหนัก

Frame 31-3

เมื่อพระเยซูได้สิ้นสุดการอธิษฐานและไปยังสาวกเหล่านั้น พระองค์ได้เดินบนผิวน้ำข้ามทะเลสาปไปยังเรือของพวกเขา

Frame 31-4

เหล่าบรรดาสาวกเกิดตกใจกลัวเมื่อเขาทั้งหลายเห็นพระเยซูเพราะเขาทั้งหลายนึกว่าเห็นผีพระเยซูได้รู้ว่าพวกเขากลัวยิ่งนักดังนั้นพระองค์จึงเรียกพวกเขาออกมาแล้วบอกว่า "อย่ากลัวเลย นี่เราเอง"

Frame 31-5

แล้วเปโตรบอกกับพระเยซูว่า "อาจารย์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์จริง สั่งให้ข้าพระองค์เดินไปหาพระองค์บนน้ำสิ"พระเยซูได้บอกกับเปโตร"จงมา"

Frame 31-6

ดังนั้น เปโตรได้แแกไปจากเรือและเริ่มเดินไปยังพระเยซูบนผิวน้ำ แต่หลังจากที่เดินได้ก้าวสั้นๆสายตาของเขาได้ละจากพระเยซูและเริ่มมองไปที่คลื่นและรู้สึกถึงลมที่พัดโหมกระหน่ำ

Frame 31-7

แล้วเปโตรได้เกิดความกลัวและเริ่มจะจมลงไปในน้ำ และเขาก็ร้องขึ้น "อาจารย์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย" พระเยซูจึงเงื้อมือออกไปทันทีและฉวยเขาไว้ พระองค์จึงบอกแก่เขาว่า "เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย ทำไมเจ้าสงสัยอยู่"

Frame 31-8

เมื่อเปโตรและพระเยซูได้เข้าไปในเรือ ลมก็หยุดทันทีและทะเลก็เงียบสงบลง เหล่าสาวกได้แปลกประหลาดใจ เขาทั้งหลายต่างพากันนมัสการพระองค์และพูกกับพระองค์ "แน่ทีเดียว พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า"

เรื่องเล่าในพระคัมภีร์ จากพระธรรม มัทธิว 14:22-33; มาระโก 6:45-52; ยอห์น 6:16-21

32. พระเยซูรักษาชายคนหนึ่งที่ถูกผีสิงและผู้หญิงที่ป๋วย

Frame 32-1

วันหนึ่งพระเยซูและสาวกของพระองค์เสด็จลงเรือข้ามทะเลสาปไปยังพื้นที่ ที่ชาวกาลาเซนอาศัยอยู่.

Frame 32-2

เมื่อพวกเขาไปถึงอีกฟากหนึ่งของทะเลสาปคนที่ถูกผีสิงวิ่งไปหาพระเยซู

Frame 32-3

ชายคนนี้แข็งแรงมากจนไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้ มีคนพยายามที่จะเอาโซมัดแขนทั้งสองข้างของเขาไว้. แต่เขาก็สามารถทำลายโซนั้นได้.

Frame 32-4

ชายคนนี้อาศัยอยู่บริเวณหลุมฝังศษร้องทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่สวมเสื้อผ้าและก็เอาหินกรีดตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า.

Frame 32-5

เมื่อชายคนนั้นมาหาพระเยซูก็คุกเขาลงต่อหน้าพระองค์ พระเยซูก็ตรัสกับผีสิงนั้นว่าจงออกไปจากผู้ชายคนนี้เถิด.

Frame 32-6

ชายที่ถูกผีสิงร้องเสียงดังว่าท่านต้องการอะไรจากข้า.พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุดโปรดอย่าทรมานข้าเลย แล้วพระเยซูถามผีสิงนั้นว่าเจ้ชื่ออะไร ผมชื่อกอง เพราะเรามีเป็นจำนวนมาก.(กอง เป็นกลุ่มของทหารหลายพันคน หนึ่งกอง เท่ากับทหารหลายพันคนของกองทัพโรมัน)

Frame 32-7

ผีนั้นอ้วนวอนพระเยซูว่า โปรดอย่าส่งเราออกจากแคว้นนี้แถวนี้มีฝูงหมูหากินอาหารอยู่ใกล้ๆเนินเขา โปรดส่งพวกเราเข้าไปสิงในหมูแทนเถิด พระเยซูตรัสว่า ไปซิ.

Frame 32-8

ผีสิงออกจากชายคนนั้นเข้าไปในหมู แล้วหมูวิ่งลงไปในทะเลสาปจมลงไปทั้งหมด. ฝูงหมูเหล่านั้นมีประมาณหลายพันตัว.

Frame 32-9

เมื่อคนเลี้ยงหมูได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาวิ่งเข้าไปในเมืองและบอกทุกคนว่า ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ. ผู้คนที่มาจากในเมือง เห็นชายผู้ที่เคยมีผีสิงเข้านั้งใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยเหมือนคนทั่วๆไป.

Frame 32-10

ผู้คนก็กลัวมากบอกให้พระเยซูว่า ออกไปจากที่นี่เสียแล้วพระเยซูออกไปเสด็จลงเรือ. เตรียมพร้อมที่จะออกไปจากที่นั้นชายที่ถูกผีสิงขอติดตามพระเยซูไป.

Frame 32-11

แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า ไม่ เราต้องการให้ท่านกลับไปบ้านบอกกับเพื่อนและครอบครัวของท่านสิ่งที่พระเจ้าได้ทำเพื่อท่าน

Frame 32-12

แล้วชายคนนั้นจึงกลับไปบ้านและบอกกับทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูได้กระทำแก่เขา.ทุกคนที่ได้ยินเรื่องราวของเขาก็อัศจรรย์ใจอย่างมาก.

Frame 32-13

พระเยซูเสด็จกลับไปอีกฝากหนึ่งของทะเลสาปหลังจากพระองค์มาถึงที่นั้นฝูงชนจำนวนมากล้อมพระเยซูและเบียดเสียดพระองค์. ในฝูงชนมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับความทรมานจากปัญหาเลือดตกสิบสองปี. เธอจ่ายเงินของเธอทั้งหมดเพื่อให้หมอรักษาเธอ แต่อาการของเธอแย่กว่าเดิม.

Frame 32-14

เธอได้ยินมาว่าพระเยซูทรงรักษาผู้ป๋วยจำนวนมากและเธอคิดในใจว่าถ้าฉันสามารถแตะชายเสื้อของพระเยซูได้ฉันก็จะหายเป็นปกติแน่นอน.แล้วเธอก็แอบมาข้างหลังพระเยซูแล้วเธอก็แตะเสื้อพระเยซู ทันทีที่เธอแตะเสื้อพระเยซูเลือดที่ใหลก็หยุดทันที.

Frame 32-15

ทันใดนั้น พระเยซูทรงรู้ว่าฤทธ์อำนาจแผ่ซ่านออกจากพระองค์แล้วพระองค์ก็หันกลับแล้วตรัสถามว่า ใครแตะเสื้อเราเหล่าสาวกตอบว่ามีคนมากมายล้อมรอบพระองค์และกระแทกพระองค์ทำไมพระองค์จึงถามว่าใครแตะเรา.

Frame 32-16

ผู้หญิงคนนั้นคุกเขาลงต่อหน้าพระเยซูเขาสั่นและกลัวมากเขาบอกกับพระเยซูว่าสิ่งที่ฉันได้ทำนั้นทำให้ฉันได้รับการรักษาหายแล้ว.พระเยซูบอกเธอว่าเพราะความเชื่อของท่านท่านจึงหายจงไปเป็นสูขเถิด.

33. คำอุปมาเรื่องชาวนาคนหนึ่ง

Frame 33-1

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่พระเยซูได้กำลังสอนท่ามกลางฝูงชนมากมายที่ฝั่งทะเลสาบ ได้มีผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาเพื่อที่ฟังพระองค์ ดังนั้นพระเยซูได้ขึ้นไปบนเรือที่เทียบจอดอยู่ริมฝั่งน้ำเพื่อที่จะมีที่ว่างพอสำหรับที่จะพูดกับคนเหล่านั้น พระองค์นั่งในเรือลำนั้นและได้สอนพวกเขา

Frame 33-2

พระเยซูได้เล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมาว่า “มีชาวนาคนหนึ่งได้ออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ ในขณะที่เขาได้กระจายเมล็ดเหล่านั้นไปทั่ว มีบางเมล็ดตกลงทางเดินและนกทั้งหลายก็เก็บกินเสียทั้งหมด”

Frame 33-3

“บางเมล็ดก็ตกลงไปในดินที่เป็นหินซึ่งมีปริมาณดินน้อย เมล็ดเหล่านั้นได้งอกอย่างรวดเร็วแต่รากของพวกมันหาได้หยั่งลุกเข้าไปในชั้นดินไม่ เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงจ้ามา พวกมันก็ร้อนและแห้งเหี่ยวตายไปหมด”

Frame 33-4

“บางเมล็ดก็ตกลงไปตามพุ่มหนาม เมล็ดเล่านั้นได้เติบโตขึ้นแต่กลับมีหนามขวางกั้นไว้ ดังนั้นต้นไม้ที่งอกออกจากเมล็ดที่ตกลงไปในพื้นหนามไม่สามารถผลิดอกออกผลได้เลย”

Frame 33-5

“เมล็ดพันธุ์อื่นๆที่ตกลงไปในดินดี เมล็ดเหล่านี้ได้เติบโตออกดอกออกผล สามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง หรือแม้กระทั้ง หนึ่งร้อยเท่าบ้าง ใครมีหูก็จงฟังเอาเถิด”

Frame 33-6

เมื่อเหล่าสาวกของพระองค์ได้ฟังดังนั้นจึงฉงนยิ่งหนัก ดังนั้นพระเยซูได้อธิบายว่า “เมล็ดพืช คือพระคำของพระเจ้า ทางเดินก็คือคนที่ได้ฟังพระคำของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจเลยและมารซาตานก็ฉกฉวยไปเสีย”

Frame 33-7

“ดินที่เป็นหินก็หมายถึงคนที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าและรับด้วยใจยินดีแต่เขาประสบกับความยากลำบากและการข่มเหงเขาก็หนีไปเสีย”

Frame 33-8

“พื้นหนามก็หมายถึงคนที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าและเมื่อเวลาผ่านไปเขาจะหลงไปกับโลก ความร่ำรวยและความพอใจในชีวิตนี้ ได้พรากเขาไปจากพระเจ้าเสีย ดังนั้นคำสอนที่ได้ยินมันไม่ได้เกิดผลเลย”

Frame 33-9

“ดินดีก็หมายถึงคนที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าและเชื่อในพระคำของพระองค์และมีชีวิตที่เกิดผล”

เรื่องเล่าในพระคัมภีร์ จากพระธรรมมัทธิว13:1-8, 18-23; มาระโก 4:1-8, 13-20; ลูกา 8:4-15

34 - พระเยซูทรงสอนเรื่องอื่นๆ

Frame 34-1

พระเยซูตรัสหลายเรื่องเกี่ยวกับอณาจักรของพระเจ้าตัวอย่างเช่น. พระองค์ตรัสว่าอาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเสมือนเมล็ดผักกาดที่ชาวนาว่านลงไปในนาของเขา. ท่านรู้ใหมเมล็ดผักกาดเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดของเมล็ดทั้งหมด.

Frame 34-2

แต่เมื่อเมล็ดผักกาดเจริญเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นพืชที่ใหญ่ที่สุดในสวนนั้น มันใหญ่พอที่นกจะมาอาศัยอยู่บนกิ่งก้านของมัน.

Frame 34-3

แล้วพระเยซูตรัสอีกเรื่องหนึ่งว่า ยีส ที่ผู้หญิงคนหนึ่งผสมขนมปังเข้าไปในแป้งจนกว่าเชื้อจะแพร่ทั่วแป้งนั้น.

Frame 34-4

อณาจักรของพระเจ้าเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่บางคนเอาซ่อนไว้ในทุ่งนาแล้วชายอีกคนหนึ่งก็ไปพบเข้า เขามีความชื่นชมยินดีมากที่เขาได้ขายทุกอย่างที่เขามีเพื่อที่จะไปซื้อทุ่งนานั้น.

Frame 34-5

อณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับ ไข่มุก ที่สมบูรณ์มีค่ามากเมื่อพ่อค้า ไข่มุก พบเขาก็ขายทุกสิ่งที่เขามีเพื่อที่จะเอาเงินซื้อ ไข่มุกนั้น.

Frame 34-6

จากนั้นพระเยซูตรัสอีกเรื่องหนึ่งให้กับบางคนที่เชื่อในการกระทำดีของตัวเอง. และกับคนที่ดูหมิ่นคนอื่น พระองค์ตรัสว่าชายสองคนไปนมัสการที่พระวิหารหนึ่งในคนนั้นเป็นคนเก็บภาษีและอีกคนหนึ่งเป็นผู้นำที่เคร่งศาสนา.

Frame 34-7

ผู้นำที่เคร่งศาสนาอธิษฐานอย่างนี้ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าไม่เป็นคนบาปเหมือนชายคนนั้นเช่น โขมย ไม่ยุติธรรม ล่วงประเวณีไม่เหมือนคนที่เก็ยภาษีคนนั้น.

Frame 34-8

เรื่องอดอาหาร ข้าพระองค์อดอาหารสองครั้งทุกอาทิตย์ และข้าพระองค์ถวายสิบลดให้พระองค์ร้อยละสิบของเงินทั้งหมดและสินค้าที่ข้าพระองค์ได้รับ.

Frame 34-9

แต่คนเก็บภาษียืนอยู่แต่ไกล จากผู้นำที่เคร่งศาสนนาและไม่แหงนหน้ามองฟ้า และเขาเอากำปั้นทุบหน้าอกแทนและอธิษฐานว่าพระเจ้า ได้โปรดเมตตาข้าพระองค์ด้วยเพราะข้าพระองค์เป็นคนบาป.

Frame 34-10

พระเยซูตรัสว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของคนเก็บภาษีคนนั้น. และเขาเป็นคนชอบธรรมเพราะเขาไม่เหมือนผู้นำที่เคร่งศาสนาคนนั้น พระเจ้าจะยกทุกคนที่ถ่อมตัวลง และจะเยียบคนที่หยิ่งยะโส

35. เรื่องพ่อผู้เมตตา

Frame 35-1

มีอยู่มาวันหนึ่งพระเยซูได้กำลังสอนคนเก็บภาษีทั้งหลายและบรรดาเหล่าคนบาปผู้ซึ่งได้รวมตัวกันเพื่อฟังพระองค์

Frame 35-2

ผู้นำศาสนาบางคนได้เคยเห็นพระองค์ปรนนิบัติคนบาปเหล่านี้เหมือนเป็นสหายของพระองค์และพวกเขาได้เริ่มที่จ ะวิพากษ์วิจารณ์ พระองค์กับคนอื่นๆดังนั้นพระเยซูได้เล่าเรื่องนี้ให้กับเขาทั้งหลายดังต่อไปนี้

Frame 35-3

"ยังมีชายคนหนึ่ง เขามีลูกอยู่สองคน ลูกชายคนเล็กของเขาได้บอกพ่อของเขาว่า 'พ่อครับ ผลอยากจะได้มนดกของพ่อตอนนี้ครับ' ดังนั้นพ่อจึงได้แบ่งสมบัติของเขาให้ลูกชายทั้งสองคนของเขา"

Frame 35-4

"ในไม่ช้าลูกชายคนเล็กได้รงบรวมทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดที่เขามีอยู่และออกเดินทางไปไกลออกไปและได้ผลาญเงินของตนเองในการใช้ชีวิตอย่างบาปนักหนา "

Frame 35-5

"หลังจากนั้นเกิดการกันดารอาหารใหญ่ในดินแดนที่ลูกชายคนเล็กอาศัยอยู่และเขาเองไม่มีแม้แต่เงินจะซื้ออาหารด้วยซ้ำไป ดังนั้นเขาได้ออกหางานทำตามที่เขาหาได้ ดังนั้นเขาจึงไปเลี้ยงหมู เขามีชีวิตที่ลำบากและหิวโหยจึงทำให้เขาต้องกินอาหารหมู "

Frame 35-6

"ในที่สุดลูกชายคนเล็กได้พูดกับตนเองขึ้นมาว่า 'ฉันกำลังทำอะไรอยู่นี่ ทาสทั้งหมดของพ่อฉันยังมีอาหารให้กินอย่างเหลือเฝือแต่ฉันอยู่ที่นี่อย่างอดๆอยากๆ ฉันจะกลับไปหาพ่อของฉันดีกว่าและขอเป็นเพียงข้าทาสคนหนึ่งของท่านก็พอ' '"

Frame 35-7

"ดังนั้นลูกชายคนเล็กได้เริ่มออกเดินทางกลับมายังบ้านของพ่อของเขา เมื่อเขายังอยู่ห่างๆออกไปไกลๆนั้น พ่อของเขาได้เห็นตัวเขาเองและรู้สึกสงสารเขายิ่งนัก เขาจึงวิ่งออกไปหาลูกของเขาและได้กอดเขาไว้พร้อมทั้งจูบเขาอีก "

Frame 35-8

".ลูกชายได้พูดขึ้นว่า 'พ่อครับ ผมได้ทำบาปต่อพระเจ้าและท่านครับ ผมไม่สมควรที่จะเป็นลูกพ่ออีกต่อไปครับ' "

Frame 35-9

"'แต่พ่อของเขาได้บอกกับทาสคนหนึ่งของเขาว่า 'จงเดินไปอย่างรวดเร็วและนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดและสวมใส่ให้ลูกชายของฉันเสีย จงใส่แหวนที่นิ้วของเขาและสวมรองเท้าที่เท้าของเขา แล้วจงฆ่าลูกวัวเพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้จัดงานเลี้ยงฉลองกัน เพราะลูกชายของฉันได้ตายไปแต่บัดนี้เราได้มีชีวิตอยู่ เขาได้หลงหายแต่ตอนนี้เราได้พบกันอีก' "

Frame 35-10

ดังนั้นผู้คนได้เริ่มที่จะเฉลิมฉลองกัน เป็นเวลาสักระยะหนึ่งลูกชายคนโตได้กลับมาถึงบ้านจากการทำงานในไร่เมื่อเขาได้ยินเสียงดนตรีและการเต้นรำจึงสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น "

Frame 35-11

"เมื่อลูกชายคนโตพบว่าพวกเขาได้ทำการเลี้ยงฉลองอยู่นั้นเพราะน้องชายของเขาได้กลับมาบ้านแล้ว เขาจึงรู้สึกโกรธมากและไม่อยากจะเดินเข้าบ้าน พ่อของเขาจึงออกมาและขอร้องเขาให้เข้าไปในบ้านเพื่อฉลองกับเขาทั้งหลายแต่เขากลับปฏิเสธ "

Frame 35-12

ลูกชายคนโตจึงพูดว่า 'ฉันได้ทำงานให้พ่ออย่างซื่อสัตย์มาเป็นเวลาหลายปี ไม่มีเลยที่ฉันจะไม่เชื่อฟังท่านและท่านเองไม่เคยที่จะให้แม้กระทั้งลูกแพะสักตัวเพื่อให้ฉันได้ไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อนของฉันบ้าง แต่เมื่อลูกชายคนนี้ของท่านได้ผลาญเงินท่านด้วยความประพฤติไม่ชอบแล้วกลับมาบ้านท่านยังได้ฆ่าลูกวัวอ้นพีให้กับเขาอีก' "

Frame 35-13

พ่อตอบว่า 'ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราตลอดเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อมีเป็นของเจ้าหมด แต่มันเป็นสิทธิ์สำหรับเราที่จะฉลองเพราะน้องเจ้าได้ตายไปแล้วบัดนี้เขาได้เป็นขึ้นมา เขาหลงหายแต่เราได้พบเขาอีก "

เรื่องราวในพระคัมภีร์ จากพระธรรมลูกา 15:11-32

36. พระเยซูทรงจำแลงพระกาย

Frame 36-1

อยู่มาวันหนึ่งพระเยซูได้ทรงนำสาวกทั้งสามของพระองค์ได้แก่ เปโตร ยากอบ และยอห์นซึ่งไม่ใช่ยอห์นคนเดียวกับผู้ที่ให้บัพติศมากับพระเยซูไปกับพระองค์ พวกเขาเองได้ขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อไปอธิษฐาน

Frame 36-2

ในขณะที่พระเยซูได้กำลังอธิษฐานอยู่นั้นพระพักตร์ของพระองค์ได้ทรงทอแสงดุจดวงตะวันและฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่างจ้า ขาวกว่าเมฆทุกก้อนที่ได้รับการสร้างขึ้นบนโลก

Frame 36-3

แล้วโมเสสและเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะได้ปรากฎกายขึ้น ชายเหล่านี้ได้เคยอาศัยอยู่บนโลกนี้มาก่อนหลายร้อยปีก่อนหน้านี้ พวกเขาได้กล่าวกับพระเยซูถึงความตายของพระองค์ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าในกรุงเยรูซาเล็ม

Frame 36-4

ในขณะที่โมเสสและเอลียาห์ได้สนทนากับพระเยซูนั้น เปโตรได้กล่าวกับพระเยซูขึ้นว่า"จะเป็นการดีที่พวกเราได้อยู่ที่นี่ ให้พวกเราสร้างเพลิงที่ประทับสักสามหลัง หลังหนึ่งเพื่อพระองค์ หลังหนึ่งเพื่อโมเสส และอีหลังหนึ่งเพื่อเอลียาห์กันเถอะ" ที่เปโตรได้กล่าวออกไปเขาไม่รู้ในสิ่งที่เขาได้กำลังพูดออกไป

Frame 36-5

ในขณะที่เปโตรได้กำลังพูดอยู่นั้น มีเมฆสุกสว่างเคลื่อนลงมาใกล้และล้อมรอบพวกเขาอยู่และมีเสียงจากเมฆนั้นตรัสว่า"นี่คือบุตรของเราผู้ที่เรารัก เราพอใจในตัวเขามาก จงเชื่อฟังท่าน" เหล่าสาวกทั้งสามได้คร้ามกลัวยิ่งนักและถึงล้มลงบนพื้น

Frame 36-6

แล้วพระเยซูคริสต์ได้สัมผัสเขาหล่านั้นและตรัสว่า"อย่ากลัวเลย จงลุกขึ้น"เมื่อพวกเขาเมื่อพวกเขามองดูรอบๆ เพียงแต่เพียงพระเยซูประทับอยู่นั่นเพียงผู้เดียวเท่านั้น

Frame 36-7

"พระเยซูและเหล่าสาวกได้เสด็จลงมาจากภูเขา แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า"อย่าบอกเรื่องนี้กับใครถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ในไม่ช้าเราจะตายแล้วจะเป็นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นพวกเจ้าทั้งหลายสามารถบอกคนอื่นได้

เรื่องราวในพระคัมภีร์ จากพระธรรมมัทธิว 17:1-9; มาระโก 9:2-8; ลูกา 9:28-36

37. พระเยซูทรงให้ลาซารัสเป็นขึ้นมาจากความตาย

Frame 37-1

อยู่มาวันหนึ่งพระเยซูได้รับข่าวว่า ลาซารัสล้มป่วยหนัก ลาซารัสมีพี่สาวสองคนชื่อว่ามาร์ธาและมารีย์ พวกเขาทั้งสามเป็นสหายรักของพระเยซู เมื่อพระเยซูได้ทรงทราบข่าวนี้ พระองค์ได้ตรัสว่า “โรคนั้นไม่ถึงกับตายหรอก แต่มีไว้เพื่อที่พระเจ้าจะได้รับเกียรติจากกิจนั้น” จริงๆแล้วพระเจ้าทรงรักสหายทั้งหลายของพระองค์มาก แต่พระองค์จำต้องรอที่พระองค์อยู่เป็นเวลาสองวัน

Frame 37-2

หลังจากนั้นสองวันต่อมา พระเยซูได้ตรัสกับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า “ให้เราพากันที่ยูเดียกันเถอะ”สาวกทั้งหลายได้ตอบว่า “อาจารย์เจ้าข้า เมื่อเวลาไม่นานมานี้ ผู้คนทั้งหลายต่างจ้องจะฆ่าพระองค์ที่นั้น” พระเยซูตรัสว่า ”ลาซารัส สหายของพวกเราได้หลับไปแล้ว ถึงเวลาที่เราจำต้องปลุกเขาให้ตื่นขึ้น”

Frame 37-3

สาวกตอบพระองค์ว่า “นายเจ้าข้า ถ้าลาซารัสได้กำลังนอนหลับอยู่ แล้วถ้าเขาตื่น เขาจะรู้สึกดีมากขึ้น” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “ลาซารัสตายแล้ว เราดีใจที่เราไม่ได้อยู่ที่นั้น ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายอาจจะเชื่อเรา”

Frame 37-4

เมื่อพระเยซูได้เสด็จมาถึงที่บ้านของลาซารัส เขาได้เสียชีวิตสี่วันแล้ว ทันใดนั้นมาร์ธาได้ตรงดิ่งไปยังพระเยซูแล้วกล่าวว่า “นายเจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย แต่ข้าพระองค์เชื่อว่าพระเจ้าจะประทานอะไรก็ตามที่ข้าพระองค์ทูลขอจากพระองค์”

Frame 37-5

พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่มีชัยชนะเหนือความตายได้ และเราคือชีวิต ใครก็ตามที่เชื่อในเราเขาจะมีชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะตายแล้วก็ตาม ทุกคนที่เชื่อในเราผู้นั้นจะไม่ตาย เจ้าทั้งหลายเชื่อในสิ่งนี้หรือไม่” มาร์ธาตอบ “คะ นายเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า”

Frame 37-6

เมื่อมารีย์มาถึง เธอได้ก้มลงซบแทบพระบาทของพระเยซูและพูดขึ้นว่า “อาจารย์เจ้าข้าถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็ไม่ต้องตาย” พระเยซูได้ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เจ้าเอาลาซารัสไปฝังไว้ที่ไหน” เขาทั้งหลายตอบกับพระองค์ว่า “ที่อุโมงค์เจ้าข้า มาทางนี้และเชิญดูเอาเองเถิด” แล้วพระเยซูทรงกันแสง

Frame 37-7

ที่อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำที่มีก้อนหินปิดอยู่ เมื่อพระองค์มาถึงยังอุโมงค์ พระองค์จึงบอกกับพวกเขาว่า “จงกลิ้งก้อนหินนั้นออกไป” แต่มาร์ธาพูดขึ้นว่า “เขาได้ตายมาสี่วันแล้ว ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นเป็นแน่แท้”

Frame 37-8

พระเยซูตอบว่า “เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าทั้งหลายจะเห็นพระเกียรติของพระเจ้า ถ้าเจ้าเชื่อในเรา” ดังนั้นเขาทั้งหลายได้กลิ้งก้อนเห็นออกไป

Frame 37-9

แล้วพระเยซูแหงนพระพักตร์ขึ้นฟ้าสวรรค์และตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์ที่ทรงสดับฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ฟังข้าพระองค์ตลอดเวลา แต่เพื่อเห็นกับคนเหล่านี้ที่ยืนอยู่ที่นี่ ข้าพระองค์ขอกล่าวแทนพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ผู้ทรงส่งข้าพระองค์มา” แล้วพระเยซูได้ตะโกนออกมาว่า “ลาซารัส จงออกมาเดี๋ยวนี้”

Frame 37-10

เมื่อสิ้นเสียง ลาซารัสจึงเดินออกมาพร้อมทั้งผ้าพันศพ พระเยซูได้ตรัสกับพวกเขาว่า “จงช่วยเขาแกะผ้าผันศพออกและปล่อยเขาไป” มีชาวยิวหลายคนที่เชื่อในพระเยซูเพราะการอัศจรรย์นี้

Frame 37-11

แต่บรรดาพวกผู้นำทางศาสนาของพวกยิวนั้นก็อิจฉานัก ดังนั้นเขาทั้งหลายได้รวมตัวกันวางแผนการณ์ที่จะฆ่าพระเยซูและลาซารัสด้วย

เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ ยอห์น 11:1-46

38.พระเยซูถูกทรยศ

Frame 38-1

ชาวยิวฉลองพิธีปัสกาทุกๆปี นี้เป็นพิธีการฉลองที่พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา. ใด้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์หลายศตวรรษก่อน. หลังจากพระเยซูเริ่มเทศนาและสอนประมาณ 3 ปี. พระองค์บอกสาวกของพระองค์ว่าเราต้องการจะฉลองปัสกานี้กับพวกเขาในเยรูซาเล็ม และพระองค์ต้องถูกฆ่าต่ายที่นั้น.

Frame 38-2

สาวกคนหนึ่งชื่อยูดาส ยูดาสเป็นผู้ที่รับผิดชอบถุงเงินของเหล่าสาวก. แต่เขารักเงินและขโมยเงินออกจากถุงบ่อยๆ. หลังจากที่เหล่าพระเยซูและเหล่าสาวกมาถึงในเมืองเยรูซาเล็ม. ยูดาสไปหาผู้นำชาวยิวและเสนอที่จะทรยศผู้นำชาวยิวและเสนอที่จะทรยศพระเยซูและพวกเขาแลกเปรียนเงินกัน. เขารู้ว่าผู้นำชาวยิวไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็น พระเมสสิยาห์และพวกเขาก็วางแผนที่จะฆ่าพระองค์.

Frame 38-3

ผู้นำชาวยิวนำโดยปุโรฮิด จ้างยูดาสเป็นเงิน 30 เหรียญที่จะทรยศพระองค์. เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามที่ผู้เผยพระวจนะพยากรณ์ไว้ ยูดาสตกลงรับเงิน และเดินจากไป.เขาเริ่มมองหาโอกาสที่จะช่วยพวกเขาจับกุม พระเยซู.

Frame 38-4

พระเยซูฉลองพิธีปัสกากับสาวกของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างร่วมพิธีปัสกากับ พระเยซู. พระเยซูเอาขนมปังชิ้นหนึ่งให้ พระองค์ตรัสว่า เอาไปกินเถอะ นี่เป็นกายของเรา ซึ่งเราให้ท่าน ทำอย่างนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงเรา. ในพิธีนี้พระเยซูตรัสว่ากายของเรายอมสละเพื่อพระเยซู.

Frame 38-5

นี่เป็นพันธสัญญาใหม่ ในโลหิดของเรานี้เราออกมาเพื่ออภัยบาปของท่านทุกครั้งที่ท่านดื่มถ้วยนี้เป็นการระลึกถึงเรา.

Frame 38-6

แล้วพระเยซูตรัสกับสาวกว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา พวกสาวกตกใจและถามว่า ใครจะทำอย่างนั้น. พระเยซูตรัสว่า คนที่เรายื่นขนมปังให้คือ ผู้ที่จะทรยศ แล้วพระองค์ทรงให้ขนมปังแก่ยูดาส.

Frame 38-7

หลังจากที่ยูดาสรับขนมปังแล้ว ซาตานก็เข้าในตัวเขา. ยูดาสจากไปและไปพาผู้นำชาวยิวจับกุมพระเยซู ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน.

Frame 38-8

หลังจากอาหารมื้อนั้น พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์. เสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ พระเยซูตรัสว่า คืนนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา ซึ้งเขียนไว้ในพระคัมภีร์. เราจะตีผู้เลี้ยงแกะและแกะทุกตัวจะกระจัดกระจายไป.

Frame 38-9

เปโตรตอบว่า แม้ทุกคนจะหนีจากพระองค์ข้าพระองค์ไม่ขอหนี. แล้วพระเยซูตรัสกับเปโตรว่า "ซาตานต้องการพวกท่านทุกคน" แต่เราอธิษฐานให้ความเชื่อของท่านไม่ล้มเหลว . แต่คืนก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธไม่รู้จักเรา 3 ครั้ง.

Frame 38-10

เปโตรบอกพระเยซูว่า "แม้ข้าจะต้องตาย ข้าพระองค์จะไม่ปฎิเสธพระองค์". สาวกคนอื่นๆก็พูดเช่นเดียวกันหมด.

Frame 38-11

แล้วพระเยซูเสด็จไปกับสาวกของพระองค์ ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมณี. พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า พวกท่านต้องอธิษฐานเพื่อไม่ให้เข้าไปในการทดลองใจ. แล้วพระเยซูเสด็จไปอธิษฐานตามลำพัง.

Frame 38-12

พระเยซูอธิษฐาน 3 ครั้ง " พระบิดาถ้าเป็นไปได้โปรดอย่าให้ข้าพระองค์ดื่มถ้วยแห่งความทุกข์ทรมานนี้เถิด. แต่ถ้าไม่มีทางอื่นสำหรับการอภัยบาปของปวงชน. ถ้าเป็นความ ปราถนาของพระบิดาข้าพระองค์จะทำ พระเยซูทุกข์มาก และเหงื่อของพระองค์ใหลหยด เหมือนโลหิต. พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมา เพื่อเสริมกำลังให้พระองค์.

Frame 38-13

หลังจากอธิษฐานแต่ละครั้ง พระเยซูกลับมาหาสาวกของพระองค์. แต่พวกเขากำลังหลับอยู่ เมื่อพระองค์กลับมาครั้งที่สาม พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ตื่นเถิดผู้ที่จะทรยศเราอยู่ที่นี่.

Frame 38-14

ยูดาสมาพร้อมกับผู้นำชาวยิว ทหารและฝูงชนพวกเขานำเอา ดาบและตะบอง. พอยูดาส มาถึงตัวพระเยซูและพูดว่า "สวัสดีครับอาจารย์" และก็จูบพระองค์ นี้เป็นสัญลักษ์สำหรับผู้นำชาวยิวจะได้รู้ว่าผู้ที่จะจับกุมคือใครแล้วพระเยซูตรัสว่า "ยูดาสท่านทำการทรยศเราด้วยการจูบใช่ใหม.

Frame 38-15

ในขณะที่ทหารจับกุมพระเยซู เปโตรชักดาบของเขาออกและตัดหูของคนใช้คนหนึ่งของปุโรหิต พระเยซูตรัสว่าเอาดาบออกไป. เราได้ขอพระบิดาของเราส่งกองทัพทูตสวรรค์มาดูแลเรา แต่เราต้องเชื่อฟังพระบิดา แล้วพระเยซูได้รักษาหูของชายนั้น หลังจากพระเยซู ถูกจับกุมสาวกทั้งหมดก็หนีไปหมด.

มัทธิว 26:14-56 มาระโก 14:10-50 ลูกา 22:1-53 ยอนห์ 12:6, 18:1-11

39. พระเยซูได้รับการดำเนินคดีความ

Frame 39-1

ในเวลากลางดึกของคืนนั้น บรรดาทหารได้นำพระเยซูไปยังบ้านของมหาปุโรหิตเพื่อให้มหาปุโรหิตได้ไตร่สวนพระองค์ เปโตรได้ติดตามพระองค์อย่างห่างๆ เมื่อพระเยซูได้นำมายังบ้านหลังดังกล่าวเปโตรได้อยู่ภายนอกบ้านนั้นและได้ผิงไฟให้ร่างกายของตนเกิดความอบอุ่น

Frame 39-2

ภายในบ้านหลังนั้น บรรดาผู้นำคนยิวได้ทำการไตร่สวนคดีความกับพระองค์ พวกเขาได้นำบรรดาพยานเท็จเพื่อกล่าวหาพระองค์ อย่างไรก็ตามข้อกล่าวหาของเขาทั้งหลายต่างขัดแย้งกันจึงไม่สามารถเอาผิดกับพระองค์ได้ดังนั้นบรรดาผู้นำชาวยิวจึงไม่สามารถพิสูจน์ว่าพระองค์ได้ผิดจริงและพระเยซูไม่ได้ตรัสอะไรเลย

Frame 39-3

ในที่สุด มหาปุโรหิตได้มองไปที่พระเยซูและกล่าวว่า "บอกพวกเรามาซะดีๆ เจ้าคือพระเมสสิยาห์บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระทรงอยู่ใช่หรือไม่"

Frame 39-4

พระเยซูตรัสว่า"เราเป็น และท่านทั้งหลายจะเป็นเรานั่งบนบัลลังค์กับพระเจ้าและลงมาจากฟ้าสวรรค์" มหาปุโรหิตได้ฉีกฉลองพระองค์ด้วยความโกรธเกรี้ยวและตะโกนต่อหน้าบรรดาผู้นำทางศาสนาต่างๆว่า"พวกเราไม่จำเป็นต้องมีพยานอีกต่อไป ท่านทั้งหลายได้ยินเขากล่าวว่าเขาเองเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะตัดสินอย่างไร"

Frame 39-5

เล่าบรรดาผู้นำพวกยิวทั้งหลายต่างตอบกับมหาปุโรหิตว่า"เขาสมควรตาย"ดังนั้นพวกเขาทั้งหลายได้ปิดตาของพระองค์ ถ่มน้ำลายใส่พระองค์ ตีพระองค์ และเยาะเย้ยพระองค์ต่างๆนานา

Frame 39-6

ในขณะที่เปโตรกำลังรออยู่ภายนอกบ้านหลังนั้น ทาสสาวผู้หนึ่งเห็นเขาและพูดกับเขาว่า "เจ้าได้อยู่กับเยซูด้วย" เปโตรได้ปฏิเสธ ต่อมาหญิงสาวอีกผู้หนึ่งพูดเช่นเดียวกันกับทาสสาวคนก่อน และเปโตรได้ปฏิเสธได้ปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดได้มีคนหนึ่งพูดว่า"พวกเรารู้ว่าเจ้าได้อยู่กับเยซูเพราะเจ้าทั้งสองมาจากกาลิลี"

Frame 39-7

แล้วเปโตรได้สาบานขึ้นว่า"ขอพระเจ้าสาปแช่งข้าถ้าข้าอยู่กับชายผู้นี้"ทันใดนั้นไก่ได้ขันถึงสามครั้งและพระเยซูได้หันพระพักตร์และจ้องที่เปโตร

Frame 39-8

เปโตรเดินหนีไปและร่ำไห้ด้วยความข่มขื่น ในเวลาเดียวกัน ยูดาสคนทรยศเห็นบรรดาผู้นำคนยิวได้ตัดสินพระเยซูถึงตาย ยูดาสถึงกับเต็มไปด้วยความเศร้าสลดยิ่งนักและเดินจากไปหลังจากนั้นเขาได้ฆ่าตัวตาย

Frame 39-9

เช้ามืดในวันรุ่งขึ้น บรรดาผู้นำชาวยิวได้นำพระเยซูไปหาปิลาตเทศมนตรีเมืองโรมันอยู่นั้น พวกเขาได้หวังว่าปิลาตจะเอาผิดกับพระเยซูและตัดสินพระองค์ถึงแก่ความตาย ปิลาตได้สอบถามพระเยซูว่า "ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวเหรอ"

Frame 39-10

พระเยซูได้ตอบว่า "ตามท่านกล่าวมานั้น แต่อาณาจักรของเราจะไม่ตั้งบนแผ่นดินโลก ถ้ามันจะอยู่ที่นี่ บรรดาผู้รับใช้ของเราจะต่อสู้เผื่อเรา เราเข้ามาในโลกเพื่อบอกความจริงเรื่องพระเจ้า ทุกคนที่รักความจริงจะฟังเรา" ปิลาตได้กล่าวว่า"ความจริงนั้นคืออะไรหรือ"

Frame 39-11

หลังจากที่พูดกับพระเยซูอยู่นั้น ปิลาตได้เดินออกไปหาฝูงชนและกล่าวว่า"ข้าพเจ้าหาความผิดในตัวชายผู้นี้ได้ไม่" แต่บรรดาผู้นำชาวยิวและฝูงชนต่างตะโกนขึ้นว่า"ตรึงเขาเสีย"ปิลาตได้ตอบกลับ"เขาไม่มีความผิดอะไร"แต่พวกเขาทั้งหลายได้ตะโกนดังขึ้นอีก ดังนั้นปิลาตได้กล่าวขึ้นเป็นครั้งที่สามว่า"เขาไม่มีความผิดอะไรเลย"

Frame 39-12

ปิลาตได้เกรงกลัวบรรดาฝูงชนนั้นว่าเขาจะก่อการจลาจลดังนั้นเขาได้เห็นด้วยกับทหารทั้งหลายที่จะตรึงพระองค์เสีย เหล่าทหารโรมันได้เฆี่ยนพระองค์และใส่ฉลองพระองค์สีม่วงและมงกุฎหนามกับพระองค์ แล้วเขาทั้งหลายได้เยาะเย้ยพระองค์ว่า"ดูนี่สิ กษัตริย์ของพวกยิว"

เรื่องราวจากพระคัมภีร์จากพระธรรมมัทธิว 26:57-27:26; มาระโก 14:53-15:15; ลูกา 22:54-23:25; ยอห์น 18:12-19:16

40. พระเยซูถูกตรึงที่กางเขน

Frame 40-1

หลังจากทหารเยาะเย้ย พวกเขานำพระเยซูไปตรึงที่กางเขน พวกเขาบังคับพระเยซูแบกกางเขนไปที่พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์

Frame 40-2

ทหารพาพระเยซูไปยังสถานที่ที่เรียกว่า "หัวกะโหลก" พวกเขาตีตะปูที่อุ้งพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ติดที่กางเขน แล้วพระเยซูตรัสว่า "พระบิดาโปรดยกโทษให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่" ปีลาตสั่งให้พวกเขาเขียนข้อความว่า "กษัตรย์ของชาวยิว" เขียนที่ป้ายและให้ติดที่กางเขนบนพระเศียรของพระเยซู

Frame 40-3

พวกทหารเอาเสื้อของพระเยซูมาพนันกัน เมื่อพวกเขาทำยังนี้ก็ทำให้คำพยากรณ์สำเร็จที่กล่าวไว้ว่า "พวกเขาแบ่งเสื้อผ้าของเราในกลุ่มของเขา และพนันกันสำหรับเสื้อผ้าของเรา"

Frame 40-4

พระเยซูถูกตรึงกางเขนอยู่ระหว่างโจรสองคน คนหนึ่งเยาะเย้ยพระเยซู แต่อีกคนหนึ่งพูดว่า "เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ เราเป็นคนผิด แต่ท่านผู้นี้เป็นผู้บริสุทธิ์" แล้วเขาก็พูดกับพระเยซูว่า "ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์ด้วยเมื่อพระองค์เข้าอยู่ในอณาจักร์ของพระองค์" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม"

Frame 40-5

ผู้นำชาวยิวและคนอื่นๆ ในฝูงชนเยาะเย้ยพระเยซู พวกเขาพูดว่า ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าจงลงมาจากกางเขนและช่วยตัวเองให้รอดสิ แล้วพวกเราจะเชื่อท่าน

Frame 40-6

แล้วท้องฟ้าทั่วทั้งภูมิภาคก็มืดสนิท แม้จะเป็นช่วงกลางวันแต่ก็ยังมืดตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง

Frame 40-7

แล้วพระเยซูร้องออกมาว่า พระบิดาสำเร็จแล้ว ข้าพระองค์ขอมอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระบิดา จากนั้นพระเยซูก็ก้มพระเศียรลงและมอบจิตวิญญาณของพระองค์ เมื่ิพระสิ้นพระชนม์แล้วแผ่นดินก็ไหวผ้าม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนจากบนลงล่าง

Frame 40-8

ผ่านความตายของพระองค์ พระเยซูทรงเปิดทางให้มนุษย์มาหาพระเจ้า เมือ่ทหารคนเฝ้าดูพระเยซูได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเขาพูดว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแน่นอน

Frame 40-9

จากนั้นโยเซฟกับนิโคเดมัสผู้นำชาวยิวสองคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ขอปีลาตมอบพระศพของพระเยซูให้แก่พวกเขา แล้วพวกเขาห่อศพของพระเยซูด้วยผ้าป่านและวางไว้ในหลุมฝังศพที่ตัดหินออก แล้วพวกเขากลิ้งหินขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าหลุมฝังศพเพื่อป้องกันการเปิดออก

เรื่องราวในพระคัมภีร์ จากพระธรรมมัทธิว 27:27-61; มาระโก 15:16-47; ลูกา 23:26-56; ยอห์น 19:17-42

41. พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

Frame 41-1

หลังจากที่เหล่าทหารได้ตึงพระเยซูแล้ว เหล่าบรรดาพวกยิวที่ไม่เชื่อได้กล่าวกับปิลาตเจ้าผู้ครองนครว่า “เยซูเจ้าคนลวงโลกนั้น บอกไว้ว่าเขาเองจะเป็นขึ้นมาจากความตายหลังจากนั้นอีกสามวัน เราต้องให้บางคนไปเฝ้าอุโมงค์ฝังศพเพื่อเป็นการทำให้แน่ใจว่าเหล่าบรรดาสาวกของเขาจะไม่มาขโมยศพไปและอ้างว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาแล้ว”

Frame 41-2

ปิลาตจึงมีรับสั่งกับพวกยิวนั้นว่า”ให้นำทหารจำนวนหนึ่งไปอารักขาที่อุโมงค์นั้นเท่าที่จะทำได้” ดังนั้นเหล่าทหารได้ทำการปิดก้อนหินที่ปากอุโมงค์อย่างแน่นหนาและมีการเข้าเวรยามทหารเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามาขโมยพระศพออกไปได้

Frame 41-3

ในวันที่เขานำพระศพของพระเยซูไปฝังนั้นเป็นวันสะบาโตและคนยิวเองไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่อุโมงค์ฝังศพได้ในวันนั้น ในวันเช้ามืดของวันต่อมาหลังจากวันสะบาโต เหล่าผู้หญิงทั้งหลายได้เตรียมที่จะไปเยี่ยมอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูพร้อมทั้งเครื่องหอมที่ใช้ในการฝังพระศพนั้น

Frame 41-4

ทันใดนั้นเองเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้ปรากฏกายลงมาจากฟ้าสวรรค์เจิดจรัสดุจสายฟ้าแลบแปรบปราบ ทูตสวรรค์นั้นได้กลิ้งก้อนหินที่ปากอุโมงค์ออกจากปากอุโมงค์และทูตสวรรค์ได้นั่งบนก้อนหินนั้น บรรดาทหารรักษาการอุโมงค์นั้นได้หวาดกลัวยิ่งนักถึงทรุดลงบนพื้นดินราวกับคนตาย

Frame 41-5

เมื่อเหล่ากลุ่มสตรีได้มาถึงที่อุโมงค์ทูตสวรรค์ได้บอกกับพวกเขาทั้งหลายว่า “อย่ากลัวเลย พระเยซูไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้นั้น จงดูเข้าไปในอุโมงค์นั้นและดูให้แน่ชัดสิ” บรรดาผู้หญิงนั้นได้มองเข้าไปในที่อุโมงค์และเสาะหาพระศพพระเยซูในที่ๆพระศพเคยวางไว้ แต่พระองค์กลับไม่ได้อยู่ที่นั้น

Frame 41-6

แล้วทูตสวรรค์ได้กล่าวกับเหล่าสตรีนั้นว่า “จงไปและบอกกับเหล่าบรรดาสาวกว่า ‘พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายและพระองค์ได้เสด็จล่วงหน้าก่อนหน้าเจ้าทั้งหลายที่กาลิลีแล้ว”

Frame 41-7

หญิงเล่านั้นกลัวจนตัวสั่นและเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดียิ่งนัก แล้วเขาทั้งหลายได้วิ่งไปบอกข่าวดีกับเหล่าสาวก

Frame 41-8

ขณะที่กลุ่มสตรีกำลังได้เดินทางเพื่อที่จะนำข่าวดีไปบอกแก่เหล่าสาวกนั้น พระเยซูได้ปรากฏพระองค์เองกับพวกหญิงเหล่านั้น พวกเขาได้นมัสการพระองค์ พระเยซูได้ตรัสว่าอย่ากลัวเลย จงออกไปและบอกกับเหล่าสาวกทั้งหลายของเราให้ไปที่กาลิลี เขาทั้งหลายจะเห็นเราที่นั้น

เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ มัทธิว 27:62-28:15 มาระโก 16:1-11 ลูกา 24:1-12 และ ยอห์น 20:1-18

42. พระเยซูกลับสู่สวรรค์

Frame 42-1

ในวันที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย สาวก 2 คนของพระองค์กำลังเดินทางไปยังเมืองใกล้ๆ. ขณะที่พวกเขาเดินพวกเขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซู. พวกเขาหวังว่าพระเยซูจะเป็นพระเมสิยาห์ แต่พระองค์ก็ถูกฆ่าตอนนี้ผู้หญิงบอกพวกเขาว่าพระองค์ก็ยังมีชีวิตอีกพวกเขาไม่รู้จะเชื่อหรือไม่.

Frame 42-2

พระเยซูได้มาหาเขาและเริ่มเดินกับเขาแต่พวกเขาไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ถามถึงสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึง และพวกเขาบอกพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่น่าทึ่ง. ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพระเยซูในช่วงสองสามวันก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังพูดคุยกับผู้มาเยือน. ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกรุงเยรูซาเล็ม

Frame 42-3

แล้วพระเยซูอธิบายให้พวกเขาว่า พระวจนะของพระเจ้าตรัสเกี่ยวกับพระเมสิยาห์อย่างไร. พระองค์ก็เตือนใจพวกเขาว่าผู้เผยพระวจนะกล่าวว่าพระเมสิยาห์จะต้องทนทุกข์ทรมานและถูกสังหารแต่จะฟื้นขึ้นมาอีกในรุ่งวันที่สาม. เมื่อพวกเขามาถึงหมู่บ้านที่ชายสองคนวางแผนจะพักที่นั้น เกือบจะค่ำแล้ว.

Frame 42-4

ชายสองคนเชิญพระเยซูพักกับพวกเขาแล้วพระองค์ก็พักที่นั้นเมื่อพวกเขาพร้อมที่จะทานอาหารมื้อเย็น. พระเยซูหยิบขนมปังก้อนหนึ่งขอบพระคุณพระเจ้าและก็หักขนมปังนั้น ทันใดนั้นพวกเขาก็จำได้ว่าพระองค์คือพระเยซูแต่ในขณะนั้นพระองค์ก็หายไปจากสายตาของพวกเขา.

Frame 42-5

ชายสองคนนั้นก็พูดด้วยกันว่านั้นคือพระเยซูเหตุนี้เขาจึงร้อนใจเมื่อพระองค์อธิบายพระวจนะของพระเจ้าแก่เขา. ทันทีที่พวกเขากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อพวกเขามาถึงพวกสาวกก็บอกว่า" พระเยซูทรงพระชนม์อยู่พวกเราไม่เห็นพระองค์"

Frame 42-6

เมื่อสาวกกำลังพูดกันอยู่ ทันใดนั้นพระเยซูก็ทรงปรากฎพระองค์เข้าไปในห้องกับพวกเขาและตรัสว่า "สันติสูขอยู่กับคุณ "พวกสาวกคิดว่าพระองค์เป็นผีแต่พระเยซูตรัสว่าทำไมพวกท่านถึงกลัว และสงสัย ดูมือเท้าของเราซิผีไม่มีร่างกายเช่นเรา. เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเราไม่ใช่ผีพระองค์ก็ถามหาอะไรทาน พวกเขาให้ปลากับพระองค์ พระองค์ก็ทรงเสวย.

Frame 42-7

พระเยซูตรัสว่าเราบอกว่าท่านว่าสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในพระวจนะของพระเจ้าต้องสำเร็จ. แล้วก็เปิดใจที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าพระองค์ตรัสว่าพระคัมภีร์ได้เขียนไว้นานแล้วว่าพระเมสิยาห์จะต้องทนทุกข์ทรมานถึงตาย และจะฟื้นจากความตายในวันที่สาม .

Frame 42-8

ในพระคัมภีร์ได้เขียนใว้ให้สาวกของเราออกไปประกาศให้ทุกคนกลับใจเสียใหม่. เพื่อจะได้รับการอภัยโทษบาปของพวกเขาเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็มและจากนั้นไปที่กลุ่มคนทุกหนทุกแห่งพวกท่านจะเป็นพยานในสิ่งเหล่านี้.

Frame 42-9

ในระหว่าง 4 สิบวันต่อมาพระเยซูได้ทรง ปรากฏแก่เหล่าสาวกของพระองค์หลายครั้ง. ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ปรากฎมากกว่า 5 ร้อยคนในเวลาเดียวกันพระองค์ทรงพิสูจน์ให้สาวกของพระองค์. ในหลายแง่มุมว่าพระองค์ทรงพระชนอยู่และพระองค์ทรงสอนเรื่องอณาจักรของพระเจ้าแก่พวกเขา.

Frame 42-10

พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่าอำนาจทั้งสิ้นในฟ้าสวรรค์ได้มอบไว้กับเราแล้ว. ดังนั้นจงไปประกาศให้ทุกคนเป็นสาวกของเราโดยการรับบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์. และให้พวกเขาเชื่อสิ่งสารพัดในสิ่งที่เราสั่งเราจะอยู่กับพวกท่านจนกว่าจะสิ้นยุค.

Frame 42-11

4 สิบวัน หลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์แล้วพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า. จงพักอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มจนกว่าพระบิดาของเราจะทรงประทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนือท่าน. จากนั้นพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และเมฆบดบังพระพักจากสายตาของพวกเขา. แล้วพระเยซูก็ทรงประทับอยู่ในพระหัตเบื้องขวา ของพระเจ้า เพื่อครอบครองเหนือทุกสิ่ง.

43. การเริ่มต้นคริสตจักร

Frame 43-1

หลังจากที่พระเยซูได้กลับขึ้นสู่สวรรค์นั้น เหล่าบรรดาสาวกได้อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มตามที่พระเยซูได้กำชับให้พวกเขาปฏิบัติตามนั้น. เหล่าบรรดาผู้เชื่อได้รวมตัวกันที่นั้นสม่ำเสมอในการอธิษฐานร่วมกัน.

Frame 43-2

ในทุกๆปี ห้าสิบวันหลังจากปัสกาชาวยิวได้ฉลองวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่เรียกว่า วันเพนเทคอส. วันเพนเทคอสเป็นช่วงเวลาหนึ่งเมื่อชาวยิวได้เฉลิมฉลองการเก็บเกียว ชาวยิวได้มาจากทั่วโลกมุ่งหน้าไปยังเยรูซาเล็ม. เพื่อที่จะเฉลิมฉลองวันเพนเทคอสด้วยกัน ปีนั้นช่วงเวลาของวันเพนเทคอสได้มาถึงประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่พระเยซูได้ไปสวรรค์แล้ว.

Frame 43-3

ในขณะที่ผู้เชื่อได้อยู่ด้วยกัน ทันใดนั้นบ้านที่พวกเขารวมตัวกันได้เต็มไปด้วยเสียงลมพัดแรง แล้วมีอะไรบางอย่างที่ดูแล้วรูปร่างคล้ายเปลวไฟเกิดขึ้นเหนือศรีษะของเหล่าผู้เชื่อทุกคน. พวกเขาได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และพวกเขาเริ่มต้นพูดภาษาต่างๆ.

Frame 43-4

เมื่อผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มได้ยินเสียง ฝูงชนได้มาเพื่อที่จะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น. เมื่อผู้คนได้ยินผู้เชื่อประกาศการงานอัศจรรย์ของพระเจ้าพวกเขาต่างประหลาดใจพวกเขาได้ยินถึงสิ่งเหล่านี้เป็นภาษาของตนเอง.

Frame 43-5

"บางคนได้กล่าวตำหนิเหล่าสาวกว่าเมาเหล้าแต่เปโตรได้ยืนขึ้นและกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า"จงฟังข้าพเจ้า บรรดาคนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้า. สิ่งนี้เป็นไปตามผู้เผยพระวจนะโยเอลที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า 'ในวาระสุดท้ายนั้น เราจะเทวิญญาณของเรา'".

Frame 43-6

"ชาวอิสราเอลทั้งหลายเอ๋ย พระเยซูได้ทรงเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ซึ่งได้ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆโดยอำนาจของพระองค์. เมื่อท่านได้เห็นและได้รู้แล้ว แต่ท่านได้ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนนั้น ".

Frame 43-7

"ทั้งๆที่พระเยซูได้ตาย แต่พระเจ้าได้ให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย. สิ่งนี้ได้เป็นไปตามผู้เผยพระวจนะที่กล่าวไว้ว่า 'ท่านจะไม่ให้ความบริสุทธิ์ของท่านเน่าสลายไปในหลุมศพ. พวกเราทั้งหลายเป็นพยานถึงความจริงที่ว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง'.

Frame 43-8

"พระเยซูได้รับการยกชูด้วยพระหัตถ์ขวาของพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์. ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ว่าจะทำตามนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเป็นเหตุให้สิ่งต่างๆที่ท่านกำลังเห็นและได้ยินอยู่ในขณะนี้ ".

Frame 43-9

"ท่านได้ตรึงพระเยซู ผู้นี้ไว้บนกางเขน แต่ท่านรู้เป็นแน่แท้ว่าพระเจ้าได้เป็นเหตุให้พระเยซูได้กลายมาเป็นทั้งจอมเจ้านายและพระเมสสิยาห์ "

Frame 43-10

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจ จึงกล่าวแก่เปโตรว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะต้องทำอย่างไรดี”

Frame 43-11

เปโตรตอบว่า 'ทุกคนในพวกท่านควรจะกลับใจเสียใหม่และรับบัพติสมาในพระนามพระเยซูคริสต์เพื่อพระเจ้าจะให้อภัยบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพระองค์จะให้ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ท่าน' "

Frame 43-12

มีประมาณสามพันคนที่ได้เชื่อในสิ่งที่เปโตรได้กล่าวมาและกลายมาเป็นสาวกของพระเยซู. พวกเขาทั้งหลายได้รับบัพติสมาและกลายเป็นส่วนนึ่งของคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม.

Frame 43-13

เหล่าสาวกได้ฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตอย่างต่อเนื่องและใช้เวลาด้วยกัน รับประทานอาหารด้วยกัน และอธิษฐานเผื่อกันและกัน. พวกเขาทั้งหลายได้เพลิดเพลินไปกับการสรรเสริญพระเจ้าร่วมกันและพวกเขาได้แบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีให้แก่กันและกันทุกคนคิดดีต่อกันและกัน ทุกๆวันจึงมีคนจำนวนมากได้กลายมาเป็นผู้เชื่อ.

เรื่องราวในพระคัมภีร์ จากพระธรรม กิจการ 2

44. เปโตรและยอห์นรักษาชายขอทานคนหนึ่่ง

Frame 44-1

อยู่มาวันหนึ่งเปโตรและยอห์นได้กำลังดำเนินไปยังพระวิหารนั้น ในขณะที่พวกเขาได้มาถึงยังประตูของพระวิหารพวกเขาได้เห็นชายที่เป็นง่อยคนหนึ่งได้นั่งขอทานอยู่

Frame 44-2

เปโตรได้มองไปที่ชายพิการคนนั้นและพูดขึ้นว่า"ข้าพเจ้าไม่มีเงินจะให้ท่านหรอกนะ แต่ที่ข้าพเจ้ามีจะให้ท่านคือในนามพระเยซู จงลุกขึ้นและเดิน"

Frame 44-3

พระเจ้าได้รักษาชายพิการในทันทีและเขาเริ่มเดินและกระโดดไปรอบๆและได้สรรเสริญพระเจ้า บรรดาคนที่อยู่รอบๆพระวิหารนั้นต่างพากันแปลกใจ

Frame 44-4

ฝูงชนกลุ่มหนึ่งได้เร่งรีบเข้ามาหาชายผู้ซึ่งได้รับการรักษานั้นเปโตรได้กล่าวแก่พวกเขาว่า"พวกท่านแปลกใจทำไมกันที่ชายคนนี้หายแล้วนะหรือ พวกเราไม่ได้รักษาเขาผ่านการดีหรือฤทธิ์เดชของพวกเราเองหรอกนะ อันที่จริงเป็นฤทธิ์เดชแห่งพระเยซูที่พระองค์ให้ชายคนนี้หาย"

Frame 44-5

ท่านทั้งหลายเป็นคนบอกให้ผู้นำโรมให้ฆ่าพระเยซู ท่านทั้งหลายได้ประหารผู้ประพันธ์แห่งชีวิตแต่พระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนจากความตาย ทั้งๆที่ท่านทั้งหลายต่างไม่เข้าใจว่าท่านทั้งหลายได้ทำอะไรไปนั้น พระเจ้าได้ใช้การกระทำของท่านทั้งหลายเองนั้นเติมเต็มบรรดาคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงพระเมสสิยาห์ว่าพระองค์จะได้รับความทุกข์ทรมานและตาย ในเวลานี้จงกลับใจเสียใหม่และหันกลับมาหาพระเจ้าเพื่อที่ว่าบาปทั้งหลายของท่านนั้นจะได้รับการชำระเสีย "

Frame 44-6

บรรดาเหล่าผู้นำในพระวิหารนั้นต่างโกรธในสิ่งที่เปโตรและยอห์นได้กล่าวมา ดังนั้นพวกเขาได้จับกุมทั้งสองและขังไว้ในคุกแต่ถึงกระนั้นก็ตามมีหลายคนได้เชื่อในถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐที่เปโตรกล่าวไว้และได้มีจำนวนผู้ชายที่เชื่อในพระเยซูมากขึ้นถึง 5,000คน

Frame 44-7

ในวันต่อมา บรรดาผู้นำชาวยิวได้นำเปโตรและยอห์นไปพบมหาปุโรหิตและผู้นำศาสนาทั้งหลาย พวกเขาได้ถามเปโตรและยอห์นว่า "ท่านได้รักษาชายที่เป็นง่อยด้วยฤทธิ์เดชอันใด"

Frame 44-8

เปโตรได้ตอบเขาทั้งหลายว่า "ชายผู้นี้ยืนต่อหน้าท่านทั้งหลายเขาได้รับการรักษาโดยฤทธิ์เดชแห่งพระเยซูพระเมสสิยาห์ ท่านทั้งหลายได้ตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแต่พระเจ้าได้ให้พระองค์มีชีวิตอีกครั้ง ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ และไม่มีทางใดที่จะช่วยให้ท่านทั้งหลายรอดพ้นได้นอกจากทางฤทธิ์เดชแห่งองค์พระเยซูเท่านั้น"

Frame 44-9

บรรดาผู้นำต่างพากันตกใจในสิ่งที่เปโตรและยอห์นได้กล่าวอย่างกล้าหาญยิ่งเพราะพวกเขาได้เห็นว่าชายเหล่านี้เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีการศึกษาอันใดแต่พวกเขาทั้งหลายระลึกได้ว่าคนเหล่านี้เคยอยู่กับพระเยซูมาก่อนหลังจากนั้นพวกผู้นำเหล่าชาวยิวได้ข่มขู่เปโตรและยอห์นและก็ปล่อยทั้งสองไปเสีย

เรื่องราวในพระคัมภีร์จากพระธรรมกิจการ 3:1-4:22

45. ฟิลิปและข้าราชการชาวเอธิโอเปีย

Frame 45-1

สเตเฟนเป็นผู้นำในคริสตจักรในยุคแรก เขาเป็นคนที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์มากไปกว่านั้นเขาเต็มไปด้วยสติปัญญา สเตเฟนได้กระทำการอัศจรรย์หลายอย่างและได้ประกาศให้ให้คนเชื่อในพระเยซูด้วยเหตุผลอย่างจับใจ

Frame 45-2

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อสเตเฟนได้กำลังสอนเรื่องราวของพระเยซูคริสต์อยู่นั้น คนยิวบางคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูได้เริ่มโต้แย้งกับสเตเฟนพวกเขาได้โกรธเป็นอย่างมากและกล่าวหาสเตเฟนต่อผู้นำทางศาสนาหลายคนกล่าวว่า "พวกเราได้ยินมาว่าเขาพูดให้ร้ายต่างๆนานถึงเรื่องโมเสสและพระเจ้าสูงสุด" ดังนั้นผู้นำทางศาสนาทั้งหลายได้จับกุมสเตเฟนและเขาไปพบมหาปุโรหิตและผู้นำคนอื่นๆของชาวยิวและที่นั้นได้มีจำนวนของพยานเท็จที่ให้ร้ายเกี่ยวสเตเฟนมากขึ้น

Frame 45-3

มหาปุโรหิตได้ถามสเตเฟนขึ้นว่า "เรื่องเหล่านี้เป็นความจริงหรือ" แต่สเตเฟนได้กล่าวกับพวกเขาทั้งหลายให้ระลึกถึงเรื่องราวต่างๆมากมายอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำมานับตั้งแต่สมัยของอับราฮัมมาจนถึงพระเยซูคริสต์ว่าและเรื่องของการที่คนของพระเจ้าไม่เชื่อฟังพระองค์ แล้วเขาได้ตอบว่า "พวกท่านทั้งหลายช่างเป็นคนหัวแข็งและกบฎยิ่งนักมักจะปฏิเสธพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ร่ำไป ดังเช่นในสมัยบรรพบุรุษของท่านพวกเขาไม่เอาพระเจ้าตลอดและยังได้ฆ่าผู้เผยพระวจนะทั้งหลายอีกด้วย แต่ท่านทั้งหลายก็ได้ทำเรื่องที่เลวร้ายกว่าที่พวกบรรพบุรุษของท่านได้เคยกระทำมา ท่านได้ประหารพระเมสสิยาห์พระเจ้าของท่านด้วย"

Frame 45-4

เมื่อผู้นำศาสนาต่างๆได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงบรรดาโทสะเป็นอย่างมากแล้วต่างพากันปิดหูไม่ยอมฟังและตะโกนด้วยเสียงอันดัง พวกเขาทั้งหลายได้ผลักสเตเฟนออกไปนอกเมืองและทุ่มก้อนหินจำนวนมากหมายที่จะฆ่าเขาเสีย

Frame 45-5

เมื่อสเตเฟนกำลังจะตายเขาได้ร้องขึ้นว่า"เยซูเจ้าข้า โปรดรับวิญญาณของข้าพระองค์เถิด"แล้วเขาได้ล้มลงพร้อมทั้งร้องขึ้นมาอีกครั้งว่า "นายเจ้าข้า ขอโปรดอย่าถือโทษพวกเขาเหล่านี้เลย" แล้วสเตเฟนก็ตาย

Frame 45-6

ในขณะนั้นเอง มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซาโลได้เห็นด้วยกับการที่คนทั้งหลายได้ฆ่าสเตเฟนและยังเฝ้าดูเสื้อผ้าของคนทั้งหลายที่เอาหินขว้างสเตเฟนในวันนั้นเอง หลายคนที่อาศัยอยู่เมืองเยรูซาเล็มได้เริ่มต้นข่มเหงบรรดาผู้ที่ตามพระเยซู ดังนั้นบรรดาผู้เชื่อได้หนีไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาได้ประกาศเรื่องราวพระเยซูทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาไป

Frame 45-7

สาวกคนหนึ่งของพระเยซูที่ชื่อว่าฟิลิปเป็นหนึ่งในผู้เชื่อที่ได้หนีออกจากกรุงเยรูซาเล็มในระหว่างการข่มเหงนั้น เขาได้เดินทางไปยังกรุงสะมาเรียที่เขาได้ประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ และมีหลายคนได้รับความรอดนั้น อยู่มาวันหนึ่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าได้บอกกับฟิลิปให้ไปยังถนนที่มุ่งหน้าไปยังทะเลทราย ในขณะที่ที่เขากำลังเดินทางไปตามถนนนั้น ฟิลิปได้เห็นข้าราชการคนสำคัญจากเอธิโอเปียเดินทางโดยรถม้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสกับฟิลิปให้เข้าไปใกล้และพูดกับชายคนนี้

Frame 45-8

"เมื่อฟิลิปเดินเข้าไปใกล้รถม้านั้น เขาได้ยินถึงในสิ่งที่ข้าราชการชาวเอธิโอเปียกำลังอ่านอยู่ถึงเรื่องที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้เขียนไว้ ข้อความที่ชายคนนั้นได้อ่านมีดังนี้ "พวกเขานำพระองค์ไปประหารดุจลูกแกะที่เป็นใบ้ พระองค์ไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดๆเลย เขาท้งหลายได้กระทำกับพระองค์อย่างไม่เป็นธรรมและไร้เกียรติ พวกเขาได้คร่าชีวิตของพระองค์เสีย"

Frame 45-9

ฟิลิปได้ถามเข้าว่า "ท่านเข้าใจในสิ่งที่ท่านอ่านหรือ" ข้าราชการเอธิโอเปียตอบ "ไม่ ถ้าไม่มีคนอธิบายให้ฟังข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร" โปรดเข้ามาและนั่งข้างข้าพเจ้าหน่อย แล้วอธิบายให้ฟังว่าผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้หมายถึงตัวเขาเองหรือใครคนอื่น

Frame 45-10

ฟิลิปได้อธิบายกับข้าราชการเอธิโอเปียว่าอิสยาห์ได้กำลังเขียนถึงพระเยซู ฟิลิปได้ใช้พระคัมภีร์ตอนอื่นๆเพื่อที่จะอธิบายให้เขาฟังถึงข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซู

Frame 45-11

ในขณะที่ฟิลิปและข้าราชการเอธิโอเปียได้เดินทางอยู่นั้น เขาทั้งสองได้เห็นแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้ "ดูนั้นสิ มีแหล่งน้ำอยู่ที่นั้น ให้บัพติศมาแก่ข้าพเจ้าได้ไหม และเขาบอกให้คนขับรถม้าหยุดที่นั้น'

Frame 45-12

แล้วเขาทั้งสองจึงลงไปในน้ำและฟิลิปได้ให้บัพติศมากับข้าราชการชาวเอธิโอเปีย หลังจากที่เขาทั้งสองได้ออกพ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำฟิลิปออกจากสถานที่แห่งนั้นทันทีไปยังที่ที่เขาต้องบอกเรื่องราวของพระเยซูกับผู้คนอีกต่อไป

Frame 45-13

ข้าราชการเอธิโอเปียได้เดินทางต่อไปยังบ้านของเขาเอง เขามีความสุขที่ได้รู้จักกับพระเยซู

เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ในพระธรรมกิจการ 6:8-8:5; 8:26-40

46. การกลับใจใหม่ของเซาโล

Frame 46-1

เซาโลเป็นชายหนุ่มผู้ที่ได้เฝ้าดูเสื้อผ้าของบรรดาผู้ที่ได้ฆ่าสเตเฟน เขาไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์และเขาเองยังได้ข่มเหงบรรดาผู้เชื่อในเวลานั้น เขาได้เดินทางจากบ้านหนึ่งสู่บ้านหนึ่งในกรุงเยรูเล็มเพื่อที่จะจับกุมทั้งชายและหญิงที่เชื่อในพระเยซูไว้ในคุก มหาปุโรหิตได้อนุญาตแก่เซาโลให้เดินทางไปยังเมืองดามัสกัสเพื่อที่จะจับกุมเหล่าบรรดาผู้เชื่อที่นั้นและนำพวกเขากลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม

Frame 46-2

ในขณะที่เซาโลกำลังเดินทางไปที่ดามัสกัสนั้น ได้มีแสงสว่างจ้าลงมาจากฟ้าสวรรค์ล้อมรอบเขาไว้และเขาได้ล้มลงบนพื้นดิน เซาโลได้ยิงเสียงใครบางคนพูดขึ้นว่า "เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม" "นายเจ้าข้า ท่านคือใคร" เซาโลถาม "เราคือเยซู คนที่เจ้ากำลังข่มเหง"พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับเขา

Frame 46-3

เมื่อเซาโลลุกขึ้น เขาไม่สามารถมองเห็นได้ เพื่อนของเขาทั้งหลายได้จูงเขาไปที่เมื่องดามัสกัส เซาโลไม่ได้กินและไม่ได้ดื่มอะไรเลยเป็นเวลาสามวัน

Frame 46-4

อานาเนียเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเมืองดามัสกัส พระเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า"จงไปที่บ้านหลังที่เซาโลได้อาศัยอยู่ จงวางมือลงบนเขาเพื่อที่เขาจะมองเห็นได้อีกครั้ง"แต่อนาเนียกล่าวว่า"นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าชายผู้นี้ได้ทำการข่มเหงบรรดาผู้เชื่อ"พระเจ้าตรัสกับเขาว่า"ไป เราได้เลือกเจ้าให้ประกาศนามของเจาแก่พวกยิวและคนที่มาจากชนชาติต่างๆ เขาจะทนทุกข์ยากเพราะนามของเรา"

Frame 46-5

ดังนั้นอนาเนียได้เดินทางไปหาเซาโล วางมือบนเขาและกล่าวว่า "เยซูผู้ได้ปรากฎกับท่านในระหว่างการเดินทางมายังที่นี่นั้น ได้ส่งข้าพเจ้าเพื่อที่ท่านจะสามารถมองเห็นอีกครั้งหนึ่งและเพื่อท่านจะเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์"ทันใดนั้นเองเซาโลได้กลับมองเห็นอีกครั้งหนึ่งและอานาเนียให้บัพติสมาแก่เขา หลังจากนั้นเซาโลได้รับประทานอาหารเพื่อเสริมกำลังในการดินทางกลับ

Frame 46-6

ทันใดนั้นเอง เซาโลได้เริ่มประกาศกับคนยิวในเมืองดามัสกัสและกล่าวว่า"พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า"คนยิวทั้งหลายต่างประหลาดใจว่าชายคนนั้นได้เคยพยายามที่จะทำลายล้างเหล่าบรรดาผู้เชื่อแต่บัดนี้กลับได้เชื่อในพระเยซู เซาโลได้ให้เหตุผลกับชาวยิวทั้งหลายและพิสูจน์ว่าพระเยซุทรงเป็นพระเมสสิยาห์

Frame 46-7

หลังจากหลายวันต่อมมา ชาวยิวได้ร่วมกันวางแผนจะฆ่าเซาโล พวกเขาจึงส่งคนไปเฝ้าดูเซาโลที่ประตูเมืองเพื่อที่จะฆ่าเขาเสียแต่เซาโลได้ยินเกี่ยวกับแผนการนั้นและเพื่อนทั้งหลายของเขาได้ช่วยให้เขาหนีไปเสีย ในคืนวันหนึ่งเขาทั้งหลายได้หย่อนเซาโลลงไปในตะกร้าให้ข้ามพ้นฝั่งกำแพงเมืองหลังจากที่เซาโลได้หนีออกจากเมืองดามัสกัสนั้นเขาได้ออกประกาศเรืองของพระเจ้าต่อไป

Frame 46-8

เซาโลได้เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อที่จะพบกับบรรดาสาวกของพระเยซูแต่พวกเขากลับกลัวเซาโลยิ่งนัก บารนาบัสเป็นผู้เชื่อคนหนึ่งได้พาเซาโลไปพบเหล่าอัครทูตและได้บอกกับพวกเขาถึงการประกาศของเซาโลอย่างแข็งขันในเมืองดามัสกัสหลังจากนั้นเหล่าสาวกได้ยอมรับเซาโล

Frame 46-9

เหล่าผู้เชื่อบางคนที่ได้หนีการข่มเหงในกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองอันทีโอกและได้ประกาศเรื่องราวพระเยซูคนส่วนใหญ่ในเมืองอันทีโอกนั้นไม่ได้เป็นคนยิวและนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเป็นจำนวนมากได้กลายเป็นผู้เชื่อในพระเยซู บารนาบัสและเซาโลได้เดินทางไปสั่งสอนเหล่าผู้เชื่อใหม่นี้ถึงเรื่องราวพระเยซูรวมไปถึงได้เสริมสร้างคนที่เชื่อในคริสตจักรนั้นให้เข้มแข็งขึ้น ณ เมืองอันทีโอกได้มีการเรียกผู้เชื่อในพระเยซูว่า "คริสเตียน"ขึ้นเป็นครั้งแรก

Frame 46-10

วันหนึ่ง ในขณะที่ผู้เชื่อในเมืองอันทิโอกได้อดอาหารอธิษฐานอยู่นั้น พระวิญญาณได้ตรัสกับพวกเขา "จงชำระตัวของเจ้าให้บริสุทธิ์ บารนาบัสและเซาโลจะทำภาระกิจเพื่อเรา เราได้เรียกเขาทั้งสองในการรับใช้"ดังนั้นคริสตจักรในอันทิโอกได้อธิษฐานเผื่อบารนาบัสและเซาโลและวางมือบนเขา แล้วพวกเขาได้ส่งทั้งสองไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งองค์พระเยซูคริสต์ตามที่ต่างๆ บารนาบัสและเซาโลได้สอนผู้คนในต่างชาติต่างภาษาและชนชาติต่างๆให้เชื่อในพระเยซู

เรื่องราวจากพระคัมภีร์ ในพระธรรมกิจการ 8:3; 9:1-31; 11:19-26; 13:1-3

47. เปาโลและสิลาสที่เมืองฟิลิปปี

Frame 47-1

ในขณะที่เซาโลได้เดินทางไปยังอาณาจักโรมนั้น เขาได้ใช้ชื่อภาษาโรมว่า "เปาโล" อยู่มาวันหนึ่งเปาโลและเพื่อนของเขาที่ชื่อว่าสิลาสได้ไปยังที่เมืองฟิลิปปีเพื่อที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระเยซูคริสต์ พวกเขาได้ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งติดกับแม่น้ำที่อยู่นอกเมืองซึ่งผู้คนมักจะรวมตัวอธิษฐานกัน ณ ที่นั่นพวกเขาพบกับแม่ค้าที่ชื่อลิเดีย เธอเป็นหญิงรักและนมัสการพระเจ้า

Frame 47-2

พระเจ้าได้เปิดหัวใจของลิเดียให้เชื่อเรื่องราวข่าวประเสริฐแห่งพระเยซูคริสต์ เธอและครอบครัวของเธอได้รับบัพติศมา เธอได้เชื้อเชิญเปาโลและสิลาสให้พำนักอยู่ที่บ้านของเธอเอง ดังนั้นเขาทั้งสองจึงอยู่ที่บ้านของเธอและครอบครัวของเธอ

Frame 47-3

เปาโลและสิลาสได้พบกับคนเป็นอันมากที่สถานอธิษฐานบ่อยครั้ง ทุกวันเมื่อพวกเขาเดินไปที่นั่น ทาสสาวผู้มีผีสิงคนหนึ่งได้ติดตามวนเวียนพวกเขาอยู่ ผีที่สิงทาสสาวผู้นี้สามารถทำนายอนาคตผู้คนเหล่านี้ได้ ดังนั้นเธอจึงสามารถทำเงินให้กันนายของเธอได้เป็นอย่างดีในฐานะผู้ทำนาย

Frame 47-4

ทาสหญิงตามร้องตะโกนไปในทุกๆที่ที่เขาไปว่า "ชายเหล่านี้เป็นทาสของพระเจ้าสูงสุด พวกเขาจะบอกถึงเรื่องราวแห่งความรอดให้พวกเจ้าทั้งหลายได้รู้" เธอได้ทำเช่นนี้บ่อยครั้งจนเปาโลรู้สึกรำคาญใจ

Frame 47-5

ในที่สุดอยู่มาวันหนึ่งเมื่อทาสสาวเริ่มตะโกนออกมา เปาโลหันหาเธอแล้วสั่งขนาบตัวนั้นที่อยู่ในเธอว่า "ในพระนามพระเยซู จงออกไปเสียจากผู้หญิงคนนั้น"ทันใดนั้นผีตัวนั้นได้ออกจากร่างของเธอ

Frame 47-6

บรรดาคนที่เป็นเจ้านายของทาสสาวนั้นโกรธมาก พวกเขารู้ว่าผีไม่อยู่แล้วและทาสสาวไม่สามารถที่จะทำนายอนาคตได้อีกต่อไปนี่หมายความว่าคนต่างๆจะไม่จ่ายเงินพวกเขาเพื่อให้เธอทำนายอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับเขาได้

Frame 47-7

ดังนั้นเหล่าเจ้านายของทาสสาวจึงนำเปาโลและสิลาสไปยังทหารโรมันผู้ปกครองและทหารโรมันได้โบยตีพวกเขาและโยนพวกเขาเข้าไปในคุก

Frame 47-8

เหล่าทหารได้นำเปาโลและสิสาสไปคุมขังในที่ปลอดภัยที่สุดของห้องขังและผูกโซ่ตรวนไว้ที่เท้า ในเวลาเที่ยงคืนของคืนนั้นพวกเขาต่างร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า

Frame 47-9

ทันใดนั้นเองได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ประตูที่คุมขังนักโทษทุกบานได้เปิดออกและโซ่ตรวนทุกเส้นที่ล่ามนักโทษนั้นได้หลุดเสียสิ้น

Frame 47-10

พัศดีที่คุมนักโทษนั้นได้ตื่นขึ้นและเมื่อเขาเข้าไปดูและเห็นว่าประตูทุกบานได้เปิดออกและเขากลัวยิ่งนักเขาคิดอยู่ในใจว่านักโทษทั้งหมดได้หนีออกไปแล้วดังนั้นเขาหมายใจที่จะฆ่าตัวตายเสีย เพราะเขารู้ว่าถ้าเจ้านายทหารโรมันชั้นผู้ใหญ่จะต้องฆ่าเขาแน่ๆถ้ารู้ว่าเขาเป็นคนปล่อยนักโทษนั้นได้หนีออกไป แต่เปาโลเห็นพัศดีนั้นและตะโกนขึ้นว่า "หยุดก่อน อยู่ทำอันตรายแก่ตนเองเลย พวกเราทั้งหมดอยู่ที่นี่

Frame 47-11

พัศดีได้สั่นกลัวในขณะที่เปาโลและสิลาสเข้ามาใกล้และถามพวกเขาว่า "ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรข้าพระองค์ถึงจะรอด"เปาโลตอบ"จงเชื่อในพระเยซูจอมเจ้านาย ท่านและครอบครัวของท่านจะรอด"แล้วพัศดีได้นำเปาโลและสิลาสเข้าไปในบ้านของเขาและชำระล้างบาปแผลของพวกเขาเสีย เปาโลได้เล่าเรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กันทุกคนที่อยู่ในครัวเรือนของพัศดีนั้น

Frame 47-12

พัศดีและทุกคนในครัวเรือนของเขาได้เชื่อในพระเยซูและได้รับบัพติศมาแล้วพัศดีได้เลี้ยงอาหารกับเปาโลและสิลาสและพวกเขาทั้งหลายต่างชื่นชมยินดี

Frame 47-13

ในเวลาต่อมาบรรดาผู้นำในเมืองนั้นได้ปล่อยเปาโลและสิลาสออกจากที่คุมขังนั้นและขอร้องพวกเขาออกจากเมืองฟิลิปปี เปาโลและสิลาสได้เยี่ยมเยียนลิเดียและสหายบางคนที่อยู่เมืองนั้นหลังจากนั้นเขาทั้งสองได้ออกจากเมืองนัั้นไป และเรื่องราวข่าวประเสริฐแห่งพระเยซูคริสต์ได้แพร่กระจายอย่างไม่หยุดยั้งและคริสตจักรนั้นได้ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ

Frame 47-14

เปาโลและผู้นำที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคนอื่นๆได้เดินทางไปตามเมืองต่างๆได้ประกาศและสั่งสอนผู้คนถึงเรื่องข่าวประเสริฐแห่งองค์พระเยซูคริสต์ พวกเขาทั้งหลายได้เขียนจดหมายหลายฉบับเพื่อทำการหนุนใจและสั่งสอนผู้เชื่อในคริตจักรต่างๆ จดหมายบางฉบับได้กลายเป็นหนังสือส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์

เรื่องเล่าในพระคัมภีร์ จากพระธรรมกิจการ 16:11-40

48. พระเยซูทรงสัญญาถึงเรื่องพระเมสสิยาห์

Frame 48-1

เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างโลก ทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์ยิ่งและปราศจากบาป อดัมและเอวาได้รักซึ่งกันและกันและพวกเขาก็รักพระเจ้าด้วย ที่นั้นไม่มีความเจ็บป่วยหรือความตาย และนี่คือแนวทางที่พระเจ้าได้ปรารถนาให้โลกควรจะเป็น

Frame 48-2

ซาตานได้พูดผ่านงูในสวนนั้นเพื่อที่จะล่อลวงเอวาให้หลง แล้วเธอกับอาดัมได้ตกลงไปในการบาปนั้นและเป็นศัตรูกับพระเจ้าเพราะพวกเขาได้ทำบาปดังนั้นทุกคนในโลกนี้ต่างเจ็บป่วยและต้องตายในที่สุด

Frame 48-3

มีอะไรบางอย่างทีเลวร้ายได้เกิดขึ้นในโลกนี้เนื่องจากบาปของอดัมและเอวา พวกเขาได้กลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า ผลก็คือทุกคนเกิดในบาปและเป็นศัตรูกับพระเจ้า ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ได้ขาดไปเพราะบาปนั้น แต่พระเจ้าได้มีแผนการที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์นั้น

Frame 48-4

พระเจ้าได้สัญญาว่าคนหนึ่งในพงศ์พันธ์ุของเอวาจะทำให้หัวของซาตานแหลกและซาตานจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ นั่นหมายความว่าซาตานจะฆ่าพระเมสสิยาห์แต่พระเจ้าจะทำให้พระองค์กลับมีชีวิตอีกครั้งและเมื่อนั้นพระเมสสิยาห์จะทำลายอำนาจของมารซาตานชั่วนิจนิรันดร์ หลายปีต่อมาพระเจ้าได้เปิดเผยว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์

Frame 48-5

เมื่อพระเจ้าได้กวาดล้างโลกนี้ด้วยน้ำท่วมใหญ่พระองค์ได้เตรียมเรือไว้เพื่อช่วยมนุษย์ที่เชื่อพระองค์ให้รอด ในทางเดียวกันทุกคนสมควรที่จะตายเพราะบาปของเขาทั้งหลายแต่รักเจ้าได้จัดเตรียมพระเยซูเพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์ให้รอด

Frame 48-6

หลายร้อยปีต่อมา ปุโรหิตหลายคนได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าเพื่อลบล้างบาปที่พวกเขาสมควรจะได้รับเพราะบาปเขาเหล่านั้นแต่บรรดาสัตว์ที่เผาบูชานั้นก็ไม่อาจจะลบล้างบาปเขาทั้งหลายได้ พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่ไม่เหมือนปุโรหิตอื่นพระองค์ได้ถวายพระองค์เองเป็นเครื่องถวายบูชาที่สามารถเอาบาปของเราทั้งทุกคนในโลกนี้พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตเพราะพระองค์ได้นำการลงโทษเพราะบาปทุกอย่างที่ทุกคนได้ทำมา

Frame 48-7

พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัมว่า"คนทุกชนชาติในแผ่นดินโลกจะได้รับพรผ่านเจ้า"พระเยซูทรงเป็นเชื้อสายของอับราฮัมคนทุกชนชาติได้รับพรผ่านพระองค์เพราะทุกคนที่เชื่อที่เชื่อในพระเยซูจะได้รอดพ้นจากบาปและกลายมาเป็นเชื้อสายฝ่ายวิญญาณของอับราฮัม

Frame 48-8

เมื่อพระเจ้าได้บอกกับอับราฮัมให้ถวายอิสอัคลูกชายของเขาเองเป็นเครื่องบูชาพระเจ้าได้จัดเตรียมลูกแกะตัวหนึ่งเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแทนอิสอัคลูกชายของเขา เราทุกคนสมควรตายในการบาปของเราทั้งหลายนั้นแต่พระเจ้าได้เตรียมพระเยซูให้เป็นลูกแกะของพระเจ้ามาตายเพื่อเป็นเครื่องบูชาแทนเราทุกคน

Frame 48-9

เมื่อพระเจ้าได้ส่งหายนะครั้งสุดท้ายในแผ่นดินอียิปต์พระองค์ได้ให้ครอบครัวชาวอิสราเอลแต่ละครอบครัวฆ่าลูกแกะบริสุทธิ์หนึ่งตัวและใช้เลือดของมันทาลงบนขอบประตูด้านบนและด้านข้างเมื่อพระเจ้าได้เห็นเลือดพระองค์จะข้ามผ่านบ้านของเขาทั้งหลายและไม่ได้ฆ่าบุตรชายหัวปีของเขาทั้งหลาย เหตุการณ์นี้เรียกว่า ปัสกา

Frame 48-10

พระเยซูเป็นแกะปัสกาพระองค์ทรงบริสุทธิ์และปราศจากบาปและถูกฆ่าในช่วงเวลาเทศกาลปัสกา เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซู โลหิตของพระเยซูได้จ่ายค่าเพื่อบาปของคนคนนั้น และการลงโทษของพระเจ้าได้ข้ามผ่านคนแต่ละคน

Frame 48-11

พระเจ้าได้ทำพันธสัญญากับชาวอิสราเอลให้เป็นประชากรที่พระเจ้าได้เลือกไว้แต่ในตอนนี้พระเจ้าได้ทำพันธสัญญาใหม่มีไว้สำหรับทุกคน เพราะว่าพันธสัญญาใหม่ใครก็ตามจากชนกลุ่มไหนก็ตามได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของคนของพระเจ้าโดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์

Frame 48-12

โมเสสเป็นผู้เผยพระวจนะที่ได้ประกาศพระคำของพระเจ้าแต่พระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะใหญ่ที่สุดในหมู่ผู้เผยพระวจนะทั้งปวงดังนั้นทุกอย่างที่พระองค์ได้ทำและตรัสได้กลายเป็นการกระทำและพระวจนะคำของพระเจ้านั่นหมายถึงว่าพระเยซูได้รับการเรียกว่าพระวาทะ

Frame 48-13

พระเจ้าได้ทรงสัญญากษัตริย์ดาวิดว่าจะมีผู้หนึ่งในเชื้อสายของพระองค์ได้ครอบครองเยี่ยงกษัตริย์เหนือคนของพระเจ้าเป็นนิตย์เพราะพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและพระเมสสิยาห์พระองค์เป็นเชื้อชายพิเศษของกษัตริย์ดาวิดผู้ซึ่งได้ครอบครองชั่วนิรันดร์

Frame 48-14

ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลแต่พระเยซูเป็นกษัตริย์แห่งจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้น พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งและครอบครองอาณาจักรของพระองค์ด้วยความยุติธรรมและสันติสุขเป็นนิตย์

เรื่องราวในพระคัมภีร์ในพระธรรม ปฐมกาล1-3, 6, 14, 22; อพยพ 12, 20; 2 ซามูเอล 7; ฮิบรู 3:1-6, 4:14-5:10, 7:1-8:13, 9:11-10:18; วิวรณ์ 21

49 พันธสัญญาใหม่ของพระเจ้า

Frame 49-1

ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้พูดกับมารีย์หญิงพรหมจารีย์ว่าเธอจะให้กำเนิดบุตรของพระเจ้า ดังนั้นในขณะที่เธอยังเป็นหญิงบริสุทธิ์อยู่นั้น เธอได้คลอดบุตรชายคนหนึ่งและตั้งชื่อว่า เยซู เหตุฉะนัั้นพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์

Frame 49-2

พระเยซูได้กระทำการอัศจรรย์หลายอย่างเพื่อทำการพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเดินบนน้ำ ห้ามพายุ รักษาคนเจ็บป่วยมากมาย ขับผีทั้งหลายออก ให้คนตายเป็นฟื้นคืนชีวิต และพระองค์ทรงเปลี่ยนขนมปังห้าก้อนกับปลาอีกสองตัวเพื่อเลี้ยงคนมากกว่า 5,000 คนอีกด้วย

Frame 49-3

พระเยซูทรงเป็นพระอาจารย์ยิ่งใหญ่ใหญ่กว่าอาจารย์ทั้งปวงในโลกนี้และพระองค์ได้ตรัสด้วยสิทธิอำนาจเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้าพระองค์ได้สั่งสอนให้ท่านทั้งหลายรักผู้อื่นตามแบบที่ท่านทั้งหลายรักตนเอง

Frame 49-4

พระองค์ได้สั่งสอนให้ท่านทั้งหลายรักพระเจ้ามากยิ่งกว่าสิ่งใดๆทั้งปวงรวมถึงความมั่งคั่งในโลกนี้ที่ท่านรักอยู่นั้น

Frame 49-5

พระเยซูได้ตรัสว่าอาณาจักรของพระเจ้ามีค่ามากกว่าทุกสิ่งอย่างในโลกนี้ การเป็นของอาณาจักรแห่งพระเจ้าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคน มากไปกว่านั้นการเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าท่านทั้งหลายจำต้องกลับใจใหม่เพื่อให้รอดพ้นจากบาปของท่านทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้น

Frame 49-6

พระเยซูได้สอนไว้ว่าบรรดาคนที่จะต้อนรับพระองค์เขาทั้งหลายจะได้รับความรอด แต่บรรดาคนทั้งหลายที่เป็นดินดีเขาทั้งหลายได้รับข่าวประเสริฐแห่งพระเยซูคริสต์และรอดแล้ว ส่วนคนที่เป็นเหมือนพื้นดินดินกรวดหิน เมล็ดพระคำของพระเจ้าไม่สามารถผ่านเข้าไปในจิตใจได้ ดังนั้นเขาทั้งหลายจะไม่เกิดผลในฤดูเก็บเกียว ส่วนบรรดาคนที่ปฏิเสธข่าวประเสริฐแห่งพระเยซูคริสต์นั้นเขาทั้งหลายจะไม่มีสิทธิ์เข้าสู่แผ่นดินของพระองค์เช่นกัน

Frame 49-7

พระเยซูได้สอนว่าพระเจ้าทรงรักคนบาปทั้งปวงมากมายยิ่งนัก พระองค์ปรารถนาที่จะอภัยบาปให้เขาทั้งหลายและให้เขาเหล่านั้นมีสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้าได้

Frame 49-8

พระเยซูได้ตรัสไว้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดบาป เมื่ออาดัมและเอวาได้ตกลงไปในบาปนั้น ความบาปมีผลกระทบต่อลูกหลานทั้งหมดของเขาเอง ผลลัพธ์นั้นคือคนทุกคนที่อาศัยในโลกนั้นตกอยู่ในบาปและทำให้แยกออกจากพระเจ้า เหตุฉะน้ัน ทุกคนได้กลายมาเป็นศัตรูของพระเจ้า

Frame 49-9

แต่พระเจ้าได้รักทุกคนในโลกนี้อย่างมากมายจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระเยซูบุตรของพระเจ้านั้นจะไม่ต้องตายในการบาปของเขาเหล่านั้นแต่จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า

Frame 49-10

พวกท่านทั้งหลายสมควรที่จะตายไปกับความผิดเล่านั้นเนื่องจากการบาปของท่านทั้งหลายนั้น พระะเจ้าสมควรที่จะโกรธแก่ท่านทั้งหลายแต่พระองค์กลับเทความโกรธนั้นลงบนพระเยซูแทน เมื่อพระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์กางเขนและรับโทษทันฑ์เพื่อท่านทั้งหลายแล้ว

Frame 49-11

พระเยซูเองไม่ทรงมีบาปเลยแต่พระองค์เองได้เลือกที่จะรับโทษทันฑ์นั้นและได้ทรงถวายพระองค์ตัวเป็นเครื่องบูชาอันสมบูรณ์แบบเพื่อลบล้างบาปผิดของทุกคนในโลกนี้ พระเจ้าได้ให้อภัยบาปผิดทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ไม่ว่าบาปนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม พระเยซูได้ตายเพื่อท่านบาปของท่านแล้ว

Frame 49-12

ท่านจะรอดจากบาปด้วยการทำความดีต่างๆก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีอะไรเลยที่สามารถทำให้ท่านมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ นอกจากทางพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งได้ชำระล้างบาปของท่านทั้งหลาย ท่านต้องเชื่อว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านต้องเชื่อว่าพระองค์ได้ตายบนไม้กางเขนแทนท่านทั้งหลายแล้วและพระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง

Frame 49-13

พระเจ้าจะช่วยทุกคนที่ได้เชื่อในพระเยซูให้รอดและต้อนรับเอาพระองค์ให้เป็นจอมเจ้านายของเขาทั้งหลาย แต่พระองค์จะไม่ช่วยบรรดาคนที่ไม่เชื่อในพระองค์ ไม่ว่าท่านจะมั่งมีหรือยากจน เป็นชายหรือหญิง หนุ่มหรือแก่ ไม่ว่าท่านจะอยู่แห่งหนตำบลใด พระเจ้าทรงรักท่านและปรารถนาให้ท่านเชื่อในพระเยซูดังนั้นพระองค์จะได้ทีความสัมพันธ์สนิทกับท่าน

Frame 49-14

พระเยซูได้เชื้อเชิญท่านให้เชื่อในพระองค์และให้บัพติศมาท่าน ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านเป็นคนบาปและท่านสมควรจะได้รับการลงโทษเนื่องจากบาปของท่านนั้น ท่านเชื่อหรือไม่พระเยซู้ได้ตายบนไม้กางเขนและรับแบกบาปของท่านไว้ที่นั่น

Frame 49-15

ถ้าท่านเชื่อในองค์พระเยซูและเชื่อในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้กับท่าน และถ้าท่านขอพระเจ้าอภัยบาป ท่านคือผู้ติดตามพระเยซูแล้ว พระเจ้าได้นำท่านออกจากอาณาจักรแห่งความมืดของมารซาตานเพื่อเข้าสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้เอานิสัยเก่า ความบาปทั้งมวลของท่านที่ท่านได้กระทำมาออกไปและใส่นิสัยใหม่ ความชอบธรรมในองค์พระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใหม่ในทางชอบธรรม

Frame 49-16

ถ้าท่านเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ยกโทษต่อบาปผิดทั้งหมดของท่านแล้ว เพราะการกระทำของพระเยซู พระองค์นับท่านให้เป็นมิตรสหายแทนที่จะเป็นศัตรูของพระองค์

Frame 49-17

ถ้าท่านเป็นสหายคนหนึ่งของพระเยซูและเป็นทาสพระเยซูจอมเจ้านาย ท่านจะต้องเชื่อฟังในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสอนไว้ ถึงแม้ท่านจะอยู่ในการทดลองในการบาปนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า หากท่านสารภาพบาปของท่านพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและเทียงธรรมพระองค์จะอภัยการบาปของท่านทั้งหมดทั้งสิ้นและท่านจะมีกำลังในการต่อสู่กับการบาปนั้น

Frame 49-18

พระเจ้าได้กำชับให้ท่านอธิษฐาน ศึกษาพระวจนะคำของพระเจ้า นมัสการพระองค์ร่วมกับผู้เชื่อผู้อื่นและบอกเรื่องราวในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำกับท่านแก่คนทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ท่านมีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์

เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ ในพระธรรม โรม 3:21-26, 5:1-11; ยอห์น 3:16; มาระโก 16:16; โคโลสี 1:13-14; 2 โครินธ์ 5:17-21; 1 ยอห์น 1:5-10

50. การเสด็จกลับมาของพระเยซู

Frame 50-1

เป็นเวลามากกว่าสองพันปีที่แล้ว ผู้คนมากมายที่เพิ่มขึ้นรอบโลกได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐแห่งองค์พระเยซูคริสต์พระเมสสิยาห์ คริสตจักรได้ขยายตัวออกไป พระเยซูคริสต์ได้ทรงสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาในวันสุดท้ายของโลกนี้ ถึงแม้พระองค์ยังไม่เสด็จกลับมาแต่พระองค์ได้ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์

Frame 50-2

ในขณะที่พวกเราได้รอคอยการกลับมาของพระเยซูนั้น พระเจ้าปรารถนาให้เราที่มีชีวิตในทางบริสุทธิ์และให้เกียรติพระองค์ พระองค์ยังปรารถนาให้พวกเราที่จะบอกถึงเรื่องราวของอาณาจักรของพระองค์อีกด้วย เมื่อพระเยซูยังมีชีวิตอยู่ในโลกนั้นพระองค์ได้พูดถึง "สาวกของเราจะเทศนาถึงข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแก่ผู้คนที่อาศัยอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ และแล้วยุคสุดท้ายจะมาถึง

Frame 50-3

กลุ่มคนมากมายที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู ก่อนที่พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระเยซูได้บอกกับบรรดาผู้เชื่อในพระองค์ให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐกับผู้คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐนั้น พระองค์ได้บอกว่า "จงออกไปและสร้างสาวกกับคนทุกชนชาติ"และยังตรัสว่า"ในทุ่งนาข้าวก็สุกแล้วถึงเวลาเก็บเกี่ยวได้"

Frame 50-4

พระเยซูยังได้กล่าวอีกว่า "ทาสคนหนึ่งจะใหญ่กว่านายของตนก็ไม่ได้ เช่นเดียวกับอำนาจต่างๆในโลกนี้ได้เกลียดและเป็นศัตรูเรา พวกมันจะทรมานและฆ่าท่านทั้งหลายเสีย ถึงแม้ท่านทั้งหลายจะอยู่ในโลกนี้ จงเข้มแข็งเถิดเพราะเราได้มีชัยเหนือซาตานผู้ครอบครองโลกนี้ถ้าท่านทั้งหลายยังคงสัตย์ซื่อจนถึงที่สุดพระเจ้าจะทำให้ท่านรอดอย่างแน่นอน"

Frame 50-5

พระเยซูได้กล่าวกับเหล่าสาวกถึงเรื่องที่อธิบายว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนเมื่อโลกนี้ถึงกาลอวสาน พระองค์ตรัสว่า "ชายคนหนึ่งหว่านเมล็ดดีในท้องทุ่งของเขา ในขณะที่เขากำลังหลับอยู่นั้นศัตรูของเขาได้เข้ามาและหว่านเมล็ดข้าวละมานเข้ากับข้าวสาลี แล้วเขาก็หนีไป"

Frame 50-6

เมื่อต้นข้าวทั้งหลายงอกขึ้นบรรดาทาสของชายคนนั้นได้เอ่ยมาว่า"นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านเมล็ดดีลงไปในทุ่งนาแต่ทำไมถึงมีข้าวละมานเติบโตในที่นี่ได้"นายจึงตอบว่า"มีศัตรูคนหนึ่งต้องหว่านไว้เป็นแน่แท้"

Frame 50-7

แล้วทาสจึงกล่าวกับนายของพวกเขาต่อไปว่า"สมควรหรือไม่ที่เราทั้งหลายจะถอนข้าวละมานเหล่านี้" นายได้กล่าวว่า"อย่าเลย ถ้าพวกเจ้าทั้งหลายทำเช่นนั้น เจ้าจะถอนข้าวที่ดีออกไปด้วย จงรอจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวและเมื่อนั้นเราจะรวบรวมข้าวละมานทั้งหมดมัดไว้แล้วเผาเสียให้มอดไหม้ แต่จงนำข้าวสาลีไว้ที่ยุ้งฉางเสีย"

Frame 50-8

เหล่าสาวกไม่เข้าใจถึงความหมายของเรื่องที่เล่ามา ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้พระเยซูอธิบายให้พวกเขาฟัง พระเยซูได้บอกว่า"ผู้ชายคนหนึ่งที่หว่านเมล็ดดีหมายถึงพระเมสสิยาห์ ท้องทุ่งนาหมายถึงโลกนี้ เมล็ดดีหมายถึงคนของอาณาจักรพระเจ้า"

Frame 50-9

"ข้าวละมานหมายถึงคนที่เป็นของมารซาตาน ศัตรูผู้ที่มาหว่านข้าวละมานหมายถึงมารซาตาน การเก็บเกี่ยวหมายถึงยุคสุดท้ายและผู้เก็บเกี่ยวหมายถึงบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า"

Frame 50-10

"เมื่อถึงการสิ้นโลกนั้น บรรดาทูตสวรรค์จะรวบรวมคนทั้งหมดที่เป็นของมารซาตานและโยนเขาทั้งหลายเข้าสู่บึงไฟโหมกระหน่ำที่่พวกเขาจะร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บปวดและทรมาน ส่วนบรรดาคนชอบธรรมจะเปล่งแสงเป็นประกายอย่างดวงอาทิตย์ในอาณาจักรพระเจ้าพระบิดาของเขา"

Frame 50-11

พระเยซูได้พูดถึงว่าพระองค์จะเสด็จมาในโลกก่อนจะสิ้นโลก พระองค์จะมาตามแบบอย่างที่พระองค์เคยได้จากไปนั้นหมายถึงพระองค์จะปรากฏกายและประทับบนเมฆในท้องฟ้า เมื่อพระเยซูเสด็จมาผู้เชื่อทุกคนที่ได้ตายไปนั้นจะเป็นขึ้นมาจากความตายและพบกับพระองค์ในนภากาศนั้น

Frame 50-12

แล้วบรรดาผู้เชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกรับไปยังบนท้องฟ้านั้นและร่วมกับบรรดาผู้เชื่อที่ได้ฟื้นขึ้นจากความตายนั้นเช่นกัน พวกเขาทั้งหลายทั้งหมดจะไปอยู่กับพระเยซูที่นั่น หลังจากพระเยซูจะอาศัยอยู่กับคนของพระองค์อย่างสันติและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันชั่วนิรันดร์

Frame 50-13

พระเยซูทรงสัญญาจะมอบมงกุฎให้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พวกเขาจะอาศัยและครอบครองร่วมกับพระเจ้าอย่างสันติอันเป็นนิรันดร์

Frame 50-14

แต่พระเจ้าจะตัดสินทุกคนที่ไม่เชื่อในพระเยซู พระองค์จะโยนเขาเหล่านั้นเข้าสู่นรกที่ที่พวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเป็นทรมานอันเป็นนิรันดร์ ไฟนั้นจะไม่ไหม้และจะเผาผลาญเขาเป็นนิจและหนอนทั้งหลายจะไม่หยุดกัดกินเขาทั้งหลาย

Frame 50-15

เมื่อพระเยซูได้เสด็จกลับมานั้น พระองค์จะทำลายมารซาตานและอาณาจักรของมันเสียให้สิ้นซากพระองค์จะโยนมารซาตานลงไปในนรกที่ที่มันจะได้รับการเผาผลาญชั่วกับชั่วกัลป์ตามบรรดาผู้ที่เลือกติดตามทางของมันมากกว่าที่จะติดตามและเชื่อฟังพระเจ้า

Frame 50-16

เพราะอาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้าและได้นำเอาบาปเข้ามายังโลกนี้ พระเจ้าได้สาปและตัดสินใจที่จะทำลายล้างโลกนี้ให้เสียสิ้นแต่วันหนึ่งพระเจ้าจะสร้างสวรรค์ใหม่และโลกใหม่อันสมบูรณ์แบบ

Frame 50-17

พระเยซูและคนของพระองค์จะอาศัยในโลกใหม่และพระองค์จะปกครองทุกสิ่งอย่างที่มีชีวิตรอดนั้นเป็นนิจนิรันดร์พระองค์จะเช็ดน้ำตาทุกหยดและที่นั้นจะไม่มีความทุกข์ทรมาน ความทุกข์โศก การร่ำไห้ ความชั่วร้าย ความเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความตาย พระเยซูจะปกครองอาณาจักรของพระองค์ด้วยความสันติสุขและความยุติธรรมและพระองค์จะอยู่กับคนของพระองค์ชั่วนิรันดร์

เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ ในพระธรรม มัทธิว 24:14; 28:18; ยอห์น 15:20, 16:33; วิวรณ์ 2:10; มัทธิว 13:24-30, 36-42; 1 เธสะโลนิกา4:13-5:11; ยากอบ 1:12; มัทธิว 22:13; วิวรณ์ 20:10, 21:1-22:21